นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19(ศบค.)ถึงการประกาศเคอร์ฟิวของรัฐบาล ที่ห้ามประชาชนออกจากบ้าน ในเวลา 22.00-04.00 ว่า การประกาศเคอร์ฟิวจะมีส่วนช่วยลดการแพร่เชื้อลงได้ เพราะการแพร่เชื้อส่วนใหญ่มักเกิดจากกิจกรรมที่ทำในช่วงเวลากลางคืน เช่น จากสถานบันเทิง งานเลี้ยง งานศพต่างๆ ทั้งนี้จะใช้ช่วงเวลาประกาศเคอร์ฟิวในการทำความสะอาดในพื้นที่ต่างๆด้วย
อย่างไรก็ตาม หากมาตรการนี้ยังไม่ได้ผล ยังมีผู้ที่ฝ่าฝืนออกมาในช่วงเวลาดังกล่าว หรือ ช่วยป้องกันการแพร่เชื้อได้ดี อาจมีการขยายเวลาการประกาศเคอร์ฟิวเป็น 8 ชม.หรือ 10 ชม.ต่อไปได้ตามความจำเป็น
พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะโฆษก สตช. กล่าวถึงแนวทางการทำงานหลังมีประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศว่า ผู้บัญชาการ สตช.ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้นำเหล่าทัพ และปลัดกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับแนวทางการบูรณาการในการทำงานร่วมกัน โดยจะเพิ่มจุดคัดกรองระหว่างจังหวัดเป็น 421 จุด เพื่อบังคับใช้กฎหมายให้เข้มข้นมากขึ้นเพื่อไม่ให้ผู้ที่ไม่มีเหตุจำเป็นออกจากเคหสถานในช่วงเวลา 22.00-04.00 น. นอกจากนี้จะเพิ่มจุดตรวจร่วมและชุดเคลื่อนที่เร็วทั้งในส่วนของตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่มากขึ้น
"ขอให้ประชาชนปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ แต่หากมีเหตุจำเป็นก็สามารถออกจากเคหสถานได้ ซึ่งแนะนำให้พกบัตรประจำตัวประชาชนและมีหนังสือรับรองจากนายจ้างติดตัวไว้" พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว
โฆษก สตช.กล่าวว่า สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะถูกบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น เนื่องจากการกระทำบางกรณีอาจผิดกฎหมายหลายฉบับ เช่น การตั้งวงดื่มสุรา นอกจากจะผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว หากมีเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องก็จะถูกลงโทษเพิ่มเติมด้วย เหมือนก่อนหน้านี้ที่ศาลได้มีคำตัดสินไปแล้ว ขณะเดียวกันต้องความร่วมมือจากประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาในการแจ้งข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่หากพบการกระทำผิดด้วย ซึ่งผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ