ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 12.30 น. นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า วันนี้มีการประชุมศบค. โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ศบค. เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมมีหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุม โดยในการประชุมนายกรัฐมนตรีชื่นชมประชาชนที่มีช่วยกันทำให้ตัวเลขด้านการติดเชื้อลดลงเหลือ 2 หลัก ชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกระดับ อยากให้ดูแลเบี้ยเลี้ยงค่าใช้จ่าย ให้หัวหน้าส่วนราชการดูแลอย่างดี และเชื่อมั่นว่าหัวหน้าส่วนราชการมีวิจารณญาณในการร่วมแก้ปัญหา และขอให้กำลังใจในการดูแล
นายแพทย์ทวีศิลป์ เปิดเผยด้วยว่า ในเรื่องของการคงอยู่พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน(พรก.ฉุกเฉิน) ยังมีความจำเป็นในสถานการณ์นี้ ซึ่งรัฐบาลจะหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวาระถัดไป ในส่วนของการมีมาตรการผ่อนคลายต้องมีมาตรการออกมาก่อน จึงมอบให้ส่วนราชการและผู้ประกอบการต่างๆไปปรึกษาหารือและเสนอขึ้นมาว่าจะมีมาตรการอย่างไร ให้อาชีพครอบคลุม โดยมีการยกตัวอย่างเช่น สนามกีฬา ตลาดสด ว่าต้องมีการจัดระเบียบอย่างไร พื้นที่ไหนปลอดภัย พื้นที่ไหนไม่ปลอดภัย เช่นจังหวัดไหนไม่มีการติดเชื้อเลยก็อาจจะผ่อนคลาย รวมทั้งไปศึกษาบทเรียนจากต่างประเทศที่ผ่อนคลายว่ามีมาตรการอย่างไร และต้องนำบทเรียนมา และต้องมีสมดุลระหว่างการติดเชื้อกับเศรษฐกิจให้เดินด้วยกันอย่างปลอดภัย โดยกรณีของทางเศรษฐกิจต้องใช้บิ๊กดาต้าให้เกิดขึ้นจริงจากส่วนราชการที่มีข้อมูล ต้องบูรณาการข้อมูลให้เป็นชุดเดียวกันเพื่อแก้ไขได้สำเร็จ
โฆษกศบค. กล่าวด้วยว่า ในที่ประชุมปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้คาดการณ์การติดเชื้อในปัจจุบัน อยู่ในอัตรา 1 : 1.2 คน ฉะนั้นอัตาการเกิดเชื้อต่ำ คาดการณ์ว่าประมาณเดือนมิ.ย. ก็จะมีคนติดเชื้อตามระบาดวิทยาประมาณ 200 คนต่อสัปดาห์ และเหลือประมาณ 22 คน ในเดือนมิ.ย. แต่ถ้าเพิ่มขึ้นไป คือ 1 คนนั้น คุมไม่ดี อาจจะเพิ่มเป็น 1:1.8 คน ซึ่งตัวเลขาต่างกันเพียงทศนิยม แต่ตัวเลขคนละเรื่อง เพราะคาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีคนติดเชื้อมากกว่า 300 คน และเดือนมิ.ย. จะเพิ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็น 2,419 ราย ซึ่งเป็นการฉายภาพเพื่อให้ศบค. วางแผนเรื่องวัสดุอุปกรณ์การแพทย์ แต่ไม่อยากเห็นแบบนั้น
เมื่อถามว่า กรณีตัวเลขลดลงต่อเนื่อง ทำให้หลายบริษัทเริ่มให้พนักงานกลับมาทำงานจะเสี่ยงติดโควิด-19 หรือไม่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เสี่ยงแน่นอน เพราะตอนนี้โรคยังไม่ได้หายไปจากโลกนี้ โรคยังคงวนเวียนอยู่รอบๆตัวเรา เป็นเชื้อโรคที่เรามองไม่เห็น อาจอยู่ในพี่น้องเราเอง ซึ่งเขาอาจไม่ได้แสดงอาการ แต่เราต้องป้องกันตัวเอง มันกระจายทั่วทั้งโลก ตัวเลขยังเป็นสีแดง ส่วนไทยเราซีลตัวเองไว้ไม่ให้คนติดเชื้อเดินทางมาประเทศเรา ส่วนที่ประเทศอื่นผ่อนคลาย เพราะเขามีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเรื่องความเสรี จึงเสียชีวิตหลักหมื่น เราก็ชอบเสรี แต่สภาวะแบบนี้ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่เราเสียไปคือเสรี เรื่องสุขภาพต้องมาก่อนเราจึงมีชีวิตได้เห็นคนที่เรารัก เราพยายามคุมในทุกๆประด็น การออกมาจำนวนมากพร้อมๆ กัน จะเหลื่อมเวลากันได้หรือไม่ เช่น 75% ทำงานที่บ้าน อีก 25% ทำงานที่ทำงาน หมุนเวียนกันไป เป็นหลักการที่เราต้องไม่ย่อหย่อน เพราะต้องอยู่กับโรคนี้อีกนาน เชื่อว่าเราคุมได้