นายสุภศักดิ์ กฤษณามระ กรรมการผู้จัดการ ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า แม้ขณะนี้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19ทั่วโลกยังไม่คลี่คลายอย่างชัดเจนไปในทางบวก การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตั้งอยู่บนความไม่แน่นอนของปัจจัยหลายอย่าง อีกทั้งยังมีการฟื้นตัวในแต่ละอุตสาหกรรมที่ไม่เท่ากัน และยังเป็นไปอย่างช้า ๆ แต่การเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะกลับสู่ภาวะปกติในอนาคต ยังจำเป็นอย่างมากสำหรับทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งผู้นำองค์กรต่าง ๆ ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าจะต้องคำนึงถึงเรื่องใดและทำอย่างไร
ส่วนปัญหาการเมืองขณะนี้ คาดว่าจะมีเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกัน และเชื่อว่า เศรษฐกิจไทยยังเดินหน้าต่อได้ เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ไทยเผชิญกับวิกฤตการเมืองมาแล้วหลายรอบ แต่ก็สามารถผ่านพ้นไปด้วย โดยการเจรจาและทำความเข้าใจร่วมกัน
ดีลอยท์ได้วิเคราะห์ ถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่เน็กซ์นอมอลใน 4 มิติ ซึ่งถือเป็นโจทย์ขององค์กรต้องนำมาพิจารณา ได้แก่
1. มิติด้านสังคม ให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่น, คำนึงเรื่องการอนุญาตให้ใช้สิทธิทางสังคม (Social license) รวมถึงปรับปรุงหลักประกันด้านสุขภาพ และความปลอดภัยให้เหมาะสม
2. มิติด้านธุรกิจ ให้ความสำคัญกับเรื่องของอุตสาหกรรม 4.0, ปรับองค์กรให้เข้ากับรูปแบบทำงานใหม่ในอนาคต และปรับหรือมองหารูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความต้องการผู้บริโภคที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงการทำเรื่องของ Digital Transformation
3. มิติด้านเศรษฐกิจ มองถึงผลกระทบจากการทำสัญญาและเครดิต, ความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจในบางอุตสาหกรรม
4. มิติด้านการเมือง เศรษฐกิจของประเทศฝั่งเอเชียจะฟื้นตัวเร็ว, ภาครัฐฯในฐานะหัวหอกการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการการคลังอันจะตามมาด้วยมาตรการทางภาษีที่อาจสูงขึ้น, เกิดแนวคิดความเป็นชาตินิยมจนกลาย เป็นปฏิปักษ์โลกาภิวัตน์
สำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศไทยนั้น ยังมีอีกหลายอย่างที่ทำให้เรายังไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างชัดเจน เมื่อวิเคราะห์ดูจากปัจจัยภายในของไทยเองพบว่า ยังมีเรื่องความไม่สงบทางการเมือง การหยุดชะงักของธุรกิจท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ไทยเราต้องพึ่งพารายได้ในจุดนี้อยู่มาก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้หรือไม่ ผนวกกับปัจจัยภายนอกอย่างเช่น การระบาดของโควิด-19 ที่คงมีต่อเนื่อง ปัญหาด้าน Geo-political เช่น ความตึงเครียดด้านการเมืองระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน การผ่อนปรนของมาตรการปิดประเทศ อุปสงค์ทั่วโลกยังอยู่ในแนวโน้มขาลง เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลที่ทำให้คาดการได้ยาก และมองว่ายังต้องอดทนไปอีก 12-18 เดือนนับจากนี้
ทั้งนี้ ดีลอยท์ยังแนะให้เห็นสิ่งที่แต่ละองค์กรควรให้ความสำคัญ 6 ด้าน เพื่อให้พร้อมรองรับการเติบโตในอนาคต ประกอบด้วย
1. การกอบกู้ และการเพิ่มของรายได้ (Recover & Grow Revenue) เช่น ทบทวนรูปแบบและข้อเสนอทางธุรกิจปัจจุบัน, ประเมินกลยุทธ์การกำหนดราคาใหม่, แสวงหาแหล่งความต้องการใหม่ ๆ รวมทั้งโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรมผ่านการทำงานร่วมกันข้ามอุตสาหกรรม
2. การเพิ่มมาร์จิ้น และความสามารถในการทำกำไร (Increase Margins & Profitability) เช่น ใช้เวลาให้มากขึ้นกับส่วนที่เพิ่มรายได้, เพิ่มความรอบคอบส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร (SG&A), มองหารูปแบบและทางเลือกเพื่อลดความเสี่ยง, เน้นความมั่นคงของซัพพลายเออร์และซัพพลายเชน
3. การเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์และหนี้สินรวมถึงสภาพคล่อง (OPTIMISE ASSETS, LIABILITIES,
& LIQUIDITY) โดยการเพิ่มประสิทธิภาพเงินทุนหมุนเวียนเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับสภาพคล่อง, ใช้ประโยชน์สูงสุดจากมาตรการกระตุ้นและเครดิตภาษีของรัฐบาล, ตรวจสอบการแบ่งปันสินทรัพย์และการจัดเตรียมการ เช่าซื้อ, ทบทวนผลงาน/สินค้าค้างส่งมอบ และสัญญาต่าง ๆ อีกครั้ง
4. เร่งทำเรื่อง Digital Transformation (Accelerate Digital Transformation) เช่น จัดลำดับความสำคัญของช่องทางข้อมูลดิจิตอล, การเปลี่ยนไปใช้ระบบคลาวด์เพื่อความคล่องตัว และความยืดหยุ่น, ให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงปลอดภัยบนไซเบอร์ (Cyber Security), เพิ่มความคล่องตัวในการทำงานของสำนักงานส่วนกลางและส่วนหน้าด้วยระบบ Office Automation
5. ให้การสนับสนุนพนักงานและโครงสร้างการดำเนินงาน (Support Workforce & Operating Structure) เช่น ทำให้พนักงานรู้สึกมั่นใจและปลอดภัย, ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงาน, สร้างช่องทางการประเมินความรู้สึก รวมถึงสุขภาพร่างกายและจิตใจของพนักงาน, มองหารูปแบบการจ้างงานทางเลือก (เช่น การจ้างแบบชั่วคราว), มองหาหรือคิดรูปแบบการทำงานและการส่งมอบงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
6. บริหารจัดการความคาดหวังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Manage Stakeholder Expectations) เช่น พัฒนารูปแบบการบริหารจัดการการสื่อสารในภาวะวิกฤต, สื่อสารนโยบายเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยให้พนักงานและลูกค้าได้รับทราบ, เข้าไปมีส่วนร่ามกับโครงการของภาครัฐ และชุมชนในพื้นที่, ให้ความสำคัญกับโครงการหรือความคิดริเริ่มเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจอย่างสมดุลทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG)
ช่วงที่ผ่านมา ดีลอยท์ ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของดีลอยท์เอเชียแปซิฟิค ก็ได้มีการปรับตัวภายในเพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 นอกเหนือจากการจัดเตรียมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรองรับกับมาตรการรักษาระยะห่างของพนักงานแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้บริหารระดับสูงและทีมงาน ในการวิเคราะห์ปัญหาผลกระทบลูกค้าในแต่ละอุตสาหกรรม และแนวทางการให้บริการที่สอดรับกับความต้องการ รวมทั้งการจัดทำบทความและรายงานตลอดจนสัมมนาออนไลน์ให้กับลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยบริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาการเติบโตของผลการดำเนินงานรอบปี 2563 ในระดับที่ดี (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563) มีอัตราเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้น 7.7% ซึ่งเป็นการเติบโตในทุกสายธุรกิจ คือ ธุรกิจตรวจสอบบัญชี เพิ่มขึ้น 7%, ธุรกิจที่ปรึกษาเพิ่มขึ้น 20%, ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการเงิน เพิ่มขึ้น 12%, ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการบริหารความเสี่ยง เพิ่มขึ้น 3% และธุรกิจที่ปรึกษาด้านภาษีและกฎหมาย เพิ่มขึ้น 9%
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้วางกลยุทธ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า ให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยการบริการแบบครบวงจรของแต่ละสายธุรกิจและศักยภาพในการให้บริการแบบเครือข่ายทั่วโลก โดยมองว่าอุตสาหกรรมที่พร้อมจะกลับมาเติบโตได้ก่อน 4 กลุ่มแรก คือ กลุ่มยานยนต์ กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มพลังงาน ซึ่งยังคงต้องการบริการที่ปรึกษาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการบริการด้านการบริหารกระแสเงินสด (Cash Optimization Advisory) เพื่อรักษาสภาพคล่องของกิจการ และการควบรวมกิจการ (M&A) โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าประมาณการรายได้รวมสำหรับปี 2564 เติบโตเพิ่มขึ้น 8% ทั้งนี้ สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมาย คือ การรักษาคนเก่งในองค์กร โดยบริษัทฯยังคงให้ความสำคัญกับการคัดสรร การพัฒนา และการดูแลบุคลากรที่มีศักยภาพสูง ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการผลักดันและขยายธุรกิจต่างๆ