"หมอธีระ" ชี้"สถานการณ์โควิดปัจจุบันวิกฤติและคุมยาก"

28 ธ.ค. 2563 | 00:00 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ธ.ค. 2563 | 07:21 น.

"หมอธีระ"ย้ำชัด การระบาดของโควิด-19 รอบนี้แรง-กระจายตัวรวดเร็ว-หาต้นตอลำบาก และแนวโน้มคุมยาก พร้อมชง 10 ข้อเสนอแนะเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาด

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก " Thira Woratanarat " เกี่ยวกับการวิเคราะห์สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ในปัจจุบัน โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ 


1. ประเทศไทยกำลังอยู่ในสถานการณ์ระบาดซ้ำ/รอบสอง/ระลอกสอง/ครั้งใหม่/อีกครั้ง อย่างชัดเจนแน่นอน


2. ระบาดซ้ำครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามาแบบไม่ทันตั้งตัว แรง กระจายเร็ว หาต้นตอลำบาก และภาพรวมดูรุนแรงกว่าระลอกแรก สอดคล้องกับประสบการณ์การระบาดของทั่วโลกที่เจอมาก่อน


3. ระบาดซ้ำครั้งนี้ต่างจากระลอกแรก เพราะไม่ใช่แค่มีกลุ่มเสี่ยงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแบบครั้งแรกที่เห็นในผับบาร์หรือสนามมวย แต่รอบนี้มีมากมายหลายกลุ่ม (multiple clusters) และแต่ละกลุ่มแพร่กระจายวงกว้าง เป็น multiple superspreading events ทำให้เปลี่ยนจากเดิมที่เห็นกลุ่มเสี่ยงชัดเจน แต่ตอนนี้คือ แพร่กระจายไปทั่ว และทำให้ทุกคนล้วนมีความเสี่ยง (Everyone is at risk)


โดยเสี่ยงทั้งที่จะติดเชื้อจากการดำรงชีวิตประจำวันในสังคม (Risk to get infected) และเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัวว่าตนเองนั้นมีเชื้อไวรัสอยู่ (Risk to spread)

 

4. ปัญหาของระบบตรวจและรายงานการติดเชื้อที่ตอบสนองต่อการระบาดได้ไม่ดีนัก เริ่มเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่การรายงานเคสติดเชื้อที่ไม่สอดคล้องระหว่างหน่วยงานกลางและระดับพื้นที่ และการรายงานนั้นดูจะไม่ทันต่อสถานการณ์ ทำให้ส่งผลต่อการรับรู้ ความเชื่อมั่น และที่สำคัญคือทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถเตรียมตัวรับมือกับการระบาดได้

 

5. ระบบบริการตรวจโควิดของประเทศไทยนั้นไม่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อความต้องการยามที่เกิดโรคระบาดซ้ำ เพราะพบปัญหาการตรวจได้จำนวนไม่มากนัก มีปัญหาคอขวด รวมถึงกฎเกณฑ์ในการตรวจและการเบิกจ่าย ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ และหลายคนก็ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจเองหากไม่ตรงกับเกณฑ์ 


ทั้งๆ ที่สถานการณ์ปัจจุบันนั้น ทุกคนล้วนมีความเสี่ยง และควรได้รับสิทธิในการตรวจเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวเองในการปฏิบัติตัว และต่อคนอื่นในสังคม ภายใต้สัจธรรมที่ว่า ไม่มีใครอยากไปดิ้นรนให้คนแยงจมูกลึกๆ แถมต้องหยุดเรียนหยุดงานและเดินทางไปถึงสถานที่ตรวจโดยไม่จำเป็น

 

6. เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นว่า สถานการณ์การระบาดนั้นกระจายเร็ว และมากเกินกว่าที่ระบบการติดตามสอบสวนโรคจะรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องการได้ประวัติ การทราบตัวบุคคลที่สัมผัสความเสี่ยงอย่างครบถ้วน และการได้ข้อมูลละเอียดให้ทันเวลา เราจึงเห็นการประกาศสู่สาธารณะให้คนประเมินตัวเองและมารายงานต่อหน่วยงานรัฐถี่ขึ้นเรื่อยๆ

 

สรุป "สถานการณ์การระบาดในปัจจุบันวิกฤติมาก และมีแนวโน้มจะคุมได้ยาก"


 

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น  จากประสบการณ์ของต่างประเทศที่ระบาดซ้ำ หากไทยเราไม่สามารถจัดการการระบาดนี้ได้ภายในกลางมกราคม (4 สัปดาห์นับจากเริ่มระบาดซ้ำ) จำนวนการติดเชื้อจะมีแนวโน้มถีบตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถจะคุมได้อีก และอาจพบจำนวนการติดเชื้อต่อวันสูงกว่าระลอกแรก 5 เท่า คือประมาณ 940 คนต่อวัน และใช้เวลาในการควบคุมการระบาดยาวนานกว่าเดิม 2 เท่า คือ 88 วัน หรือสามเดือน 

 

ทั้งนี้หากเข้าสู่แนวทางการระบาดดังกล่าวข้างต้น มาตรการเดิมที่เคยใช้ได้ผลในระลอกแรก เช่น การล็อคดาวน์ หรืออื่นๆ จะได้ผลตอบสนองที่ช้าลงกว่าเดิม และส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำรงชีวิตของประชาชนในทุกพื้นที่ และต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว

 

สิ่งที่ควรพิจารณาดำเนินการตอนนี้ มีดังนี้


1. ดำเนินมาตรการเข้มข้นใน"ทุกจังหวัดที่มีรายงานเคสติดเชื้อ" ไม่ว่าจะสีใดก็ตาม โดยขอความร่วมมือจากประชาชนให้ "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อบ้านเกิด" ตั้งแต่บัดนี้จนถึงกลางเดือนมกราคม 2564


2. รณรงค์ใช้นโยบาย "ใส่หน้ากาก 100%" พร้อมบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนตามที่แต่ละพื้นที่ตกลงกันเอง โดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ


3. ตั้งด่านคัดกรองทุกจังหวัด และรณรงค์ให้งดการเดินทางระหว่างจังหวัดโดยไม่จำเป็น


4. ปิดกิจการเสี่ยงต่างๆ และงดการจัดงานที่มีการรวมคนจำนวนมากทั่วประเทศ 


5. กิจการอาหารและเครื่องดื่ม ให้เปิดบริการแบบซื้อกลับบ้าน หรือบริการส่งถึงบ้าน ไม่ควรนั่งในร้าน


6. รณรงค์"การเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างมีสติและระมัดระวัง" (Travel with caution) จนถึงกลางเดือนมกราคม 2564...โดยต้องเลี่ยงการโฆษณาว่าท่องเที่ยวแล้วปลอดภัย เพราะไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความเสี่ยงกระจายตัวและยากที่จะการันตีความปลอดภัย


7. รณรงค์"เคานท์ดาวน์ปีใหม่ที่บ้าน" ในรูปแบบต่างๆ พร้อมกันทั่วประเทศ (หมายรวมถึงสวดมนต์ข้ามปี และกิจกรรมอื่นๆ ผ่านทางออนไลน์)


8. รณรงค์ให้ประชาชนสังเกตอาการตนเองและสมาชิกในครอบครัว หากมีอาการไม่สบายคล้ายไข้หวัด เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ดมไม่ได้กลิ่น ลิ้นรับรสไม่ได้ หรือท้องเสีย ให้โทรศัพท์ปรึกษาศูนย์บริการสาธารณสุขหรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อนัดหมายตรวจคัดกรองโควิด


9. ปรับระบบรายงานการติดเชื้อใหม่ให้เป็นแบบ real time เพื่อให้ประชาชนทุกพื้นที่ได้รับทราบสถานการณ์ของพิ้นที่ตนเอง


10. งดการประชาสัมพันธ์เรื่องความเพียงพอของระบบสาธารณสุข เพราะขัดต่อหลักความเป็นจริงที่เห็นจากทั่วโลกว่าการระบาดที่รุนแรงนั้นมักเกินขีดความสามารถของระบบที่มี ดังนั้นจึงต้องเน้นย้ำให้"ป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ" 

 

นอกจากนี้ยา Favipiravir ที่มีอยู่ 500,000 เม็ดนั้น พอสำหรับการรักษาคนเพียง 7,000 กว่าคน ซึ่งหากระบาดซ้ำแบบประเทศอื่นๆ จะมีโอกาสที่ไทยจะติดเชื้อราว 23,000-33,000 คน หรือมากกว่านั้นได้ เหนืออื่นใดต้องแจ้งให้ประชาชนทราบด้วยว่า ยา Favipiravir นั้นมีข้อมูลทางการเแพทย์ที่ยังไม่เพียงพอที่จะฟันธงได้ว่าสามารถรักษาโรคได้ผลดีจริง 


โดยข้อมูลที่มีอยู่นั้นมาจากงานวิจัยที่ยังมีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น จำนวนผู้ป่วย รูปแบบการวิจัย ฯลฯ จึงถือว่าเป็นยาที่มีบางประเทศเลือกใช้อยู่ เนื่องจากยังมีข้อจำกัดในเรื่องทางเลือกของการรักษา

 

วิกฤติครั้งนี้ หากเราร่วมแรงร่วมใจช่วยกันสู้ ยังมีสิทธิที่จะบรรเทาผลกระทบจากการระบาดซ้ำนี้ได้ครับ สู้ๆ นะครับ ด้วยรักต่อทุกคน