ธิดารัตน์ กาญจนวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อเด็คโก้ ประเทศไทย ผลสำรวจอาชีพในฝันปีนี้ พบว่า อาชีพที่เด็กไทยอยากเป็นมากที่สุดคือ หมอ เพราะอยากรักษาคนและช่วยเหลือผู้อื่น รองลงมาคือ ครู สำหรับอาชีพมาแรงในปีนี้ได้แก่ YouTuber และดารา นักร้อง ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 3 และ 4 ตามลำดับ โดยเด็กๆ ให้เหตุผลว่าเป็นอาชีพที่ได้มอบความบันเทิงและความสุขให้ผู้อื่น สำหรับดารา-นักร้อง นั้นเป็นอาชีพที่ไม่เคยติด Top 5 มาก่อน คาดว่าเป็นเพราะปัจจุบันมีการทำคลิปคอนเทนต์โปรโมท ดารา นักร้อง อยู่ใน YouTube มากขึ้นซึ่งเป็นสื่อหลักที่เด็กเปิดรับมากที่สุด จึงทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นมาในปีนี้ ส่วนอันดับที่ 5 ได้แก่ ตำรวจ
สำหรับผลโหวตไอดอลในดวงใจของเด็กไทยปีนี้พบว่า ‘BLACKPINK’ ได้รับคะแนนโหวตมากที่สุด โดย BLACKPINK เป็นที่ชื่นชอบของเด็กไทยจากความสามารถที่โดดเด่นทั้งด้านการร้องและการเต้น รวมถึงหน้าตาที่สวยน่ารัก โดยสมาชิกที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในวงคือ ลิซ่า หรือ ลลิษา มโนบาล สมาชิกคนไทยเพียงหนึ่งเดียวในวง ที่นอกจากจะเต้นและแร็ปเก่งแล้ว ยังได้รับคำชมด้านความอดทน ความพยายาม และความกตัญญูอีกด้วย
ส่วน เก๋ไก๋ สไลเดอร์ YouTuber ที่มียอดผู้ติดตามสูงสุดในประเทศไทยและเป็นแชมป์เก่าในปีที่แล้ว ปีนี้อยู่ในอันดับที่ 2 อันดับที่ 3 ได้แก่ ‘BTS’ วงบอยแบนด์เกาหลีที่เพิ่งพาเพลงครองแชมป์ Billboard ได้สำเร็จ โดยเด็กๆ ระบุว่าวง BTS เป็นแรงบันดาลใจทำให้มีกำลังใจในการเรียนมากขึ้น อันดับที่ 4 ได้แก่ แป้ง ZbingZ นักแคสเกมและ YouTuber ชื่อดังที่ติดโพลล์มา 4 ปีซ้อน และอันดับ 5 ได้แก่ เนม MNJTV นักแคสเกม Free Fire ที่มาแรงติดโพลล์เป็นครั้งแรก
ผลสำรวจ Adecco Children Survey ประจำปี 2564 ยังพบว่าเด็กไทยชอบเทคโนโลยี โดยเมื่อต้องหาความรู้นอกตำราก็มักจะค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ตผ่านการเสิร์ช Google และดู YouTube ในยามว่างก็จะใช้เทคโนโลยีในการเล่นเกม ดู YouTube เล่นโซเชียลมีเดีย โดยสื่อโซเชียลที่เข้าถึงเด็กไทยอายุ 7-14 ปีมากที่สุด ได้แก่ YouTube 94% Facebook 80% Line 74% TikTok 73% Instagram 50% Twitter 26% ซึ่ง YouTube เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งทุกปีที่มีการสำรวจ ขณะที่ TikTok ก็เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มมาแรงที่เด็กๆ ชื่นชอบ โดยได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากการสำรวจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
เมื่อถามถึงการเรียนออนไลน์ช่วงโควิด-19 ระบาดพบว่าเด็กไทย 96% ได้เรียนออนไลน์ ขณะที่อีก 4% ไม่ได้เรียนออนไลน์เพราะขาดอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ต โดย 52% ระบุว่าพวกเขาชอบเรียนออนไลน์เพราะไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องตื่นเช้า สามารถเรียนจากที่ไหนก็ได้ เมื่อไม่เข้าใจตรงไหนก็วนกลับมาดูซ้ำได้ และยังช่วยให้ปลอดภัยจากโรคระบาด ขณะที่อีก 46% ระบุว่าไม่ชอบเรียนออนไลน์เพราะรู้สึกว่าเรียนไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจก็ไม่สามารถถามได้ ไม่มีกิจกรรม ไม่ได้เจอเพื่อน จึงทำให้รู้สึกเบื่อ และบางคนยังประสบปัญหาจากสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ไม่เสถียรอีกด้วย
จากผลสำรวจเด็กไทยอายุ 7-14 ปีพบว่า เด็กๆ มีการแสดงความเห็นที่น่าสนใจหลากหลายประเด็น ส่วนใหญ่มองว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการในด้านการเรียน คือการปรับปรุงหลักสูตรให้มีความทันสมัยและเท่าทันกับบริบทของสังคมและโลกที่เปลี่ยนไป พัฒนาหลักสูตรให้มีความหลากหลายเหมาะกับความชอบและความถนัดของเด็กแต่ละคน และเปลี่ยนมาเรียนผ่านกิจกรรม หรือการทัศนศึกษาให้มากขึ้น แทนที่จะเรียนแต่ในห้องเรียนอย่างเดียว นอกจากนี้เด็กไทยยังหวังที่จะเรียนอย่างมีความสุข โดยเสนอให้ ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลาเล่น เสริมด้วยกิจกรรมต่างๆ พัฒนาคุณภาพครูให้สอนเก่งและสนุกขึ้น โดยนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้การเรียนการสอน เช่น การใช้เกม (Gamification) หรือการใช้อุปกรณ์แสดงภาพเสมือนจริง (AR/VR) อีกทั้งยังอยากให้ครูมีความใส่ใจ เข้าใจและยอมรับในความแตกต่างของเด็กแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย จิตใจ หรือพัฒนาการในการเรียนที่ช้าเร็วไม่เท่ากัน เพื่อปรับการเรียนสอนให้เหมาะสม
นอกจากนี้ ประธานเจ้าหน้าบริหาร Adecco ยังแนะนำว่า เด็กไทยวันนี้ ต้องมีทักษะแบบที่โลกต้องการจึงจะสามารถอยู่รอดในโลกยุคใหม่ได้อย่างมั่นคง ทักษะทางด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและภาษาจีน ทักษะดิจิทัล รวมถึงทักษะทางสังคมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการสื่อสารหรือทำงานร่วมกับผู้อื่นจะเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งกว่าที่เคย ขณะเดียวกันการเรียนการสอนก็ต้องเน้นให้เด็กฝึกคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง ไม่ใช่เรียนแบบท่องจำอีกต่อไป เพราะความรู้ทุกวันนี้ล้าสมัยเร็วมาก เราจึงต้องปลูกฝังเด็กไทยให้มีความใฝ่รู้ สามารถค้นคว้าและเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
จากผลสำรวจ Adecco Children Survey ในปีนี้ จะเห็นว่าเด็กไทยนั้นมีความคิดเป็นของตัวเอง และมีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นลักษณะพื้นฐานที่ดีของเด็ก Gen Z หากพัฒนาให้ดีก็สามารถต่อยอดไปได้ไกล
สำหรับ Adecco มองว่าการจะปั้นเด็กให้เป็น Talent ที่องค์กรต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคตนั้น จะต้องประกอบด้วยค่านิยม 5 ด้าน ซึ่งใช้เป็นค่านิยมหลักขององค์กรเรา คือ 1) มี passion ในการทำงาน ซึ่งกระบวนการศึกษาควรเอื้อให้เด็กสามารถค้นเจอความสามารถและความถนัดของตนเอง 2) ความรับผิดชอบ ต้องปลูกฝังให้เด็กรู้จักความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทั้งของตนเองและสังคม
3) แนวคิดแบบผู้ประกอบการ (entrepreneurial mindset) เด็กรุ่นใหม่ควรมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ปัญหาและคิดค้นวิธีการเพื่อสร้างนวัตกรรม เพื่อแก้ไขปัญหานั้นๆ ได้ มีความรู้ความเข้าใจเชิงธุรกิจ รวมทั้งมีความกล้าเผชิญหน้าและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจะเกิดขึ้น 4) Team Spirit ในการทำงานย่อมต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น ดังนั้น ทักษะด้านคนและการทำงานเป็นทีมจึงเป็นอีกสิ่งที่สำคัญมาก 5) Empathy หรือ การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทักษะนี้เป็นทักษะที่ AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้ และจะเป็นทักษะที่มีความต้องการมากในอนาคตเพราะเป็นทักษะจำเป็นในการออกแบบนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและการทำงานร่วมกับผู้อื่น