สธ.ผนึก 4 หน่วยงาน ทลายแก๊งอุ้มบุญข้ามชาติ

05 ก.พ. 2564 | 23:05 น.

สธ.ร่วมกับ 4 หน่วยงานบุกรวบนายหน้าและหญิงอุ้มบุญในบ้านพัก 9 จุด ทั่วกรุงเทพฯ พร้อมสั่งฟันโทษตามกฎหมายและเตรียมขยายผลสืบสวนหาผู้ร่วมขบวนการต่อไป

ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากการหารือร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถึงผลการวินิจฉัยและตรวจดีเอ็นเอ (DNA) ระหว่างแม่และเด็กรายหนึ่ง ว่าไม่ใช่บุตรสืบสายโลหิต กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพจึงดำเนินการตรวจสอบข้อมูลของกรณีดังกล่าวว่าเกิดจากการ อุ้มบุญ  หรือ รับตั้งครรภ์แทนโดยผิดกฎหมายหรือไม่อย่างไร


โดยมีการตรวจสอบข้อมูลการใช้สื่อโซเชียลของมารดาจนพบเบาะแส ว่ามีเด็กทารกจำนวนหนึ่ง ที่เกิดโดยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์และถูกนำมาเลี้ยงโดยกลุ่มบุคคลต่างด้าวในย่านรามคำแหง ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย “พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558” และกฎหมายอื่นๆอีกหลายฉบับ 

 

ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุข จึงได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหยุดการกระทำที่ผิดต่อทั้งกฎหมาย และมนุษยธรรมดังกล่าว จนเป็นที่มาของการตรวจปูพรม 9 จุดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งในการลงพื้นที่ตรวจสอบในเบื้องต้นของพนักงานเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ตำรวจในบ้านพักทั้ง 9 จุด พบเด็กทารกอายุไม่ถึงหนึ่งปี ซึ่งต้องสงสัยว่าเกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ 

อีกทั้งยังพบชาวต่างชาติที่รับหน้าที่เป็นนายหน้าชักชวน และหญิงรับจ้างอุ้มบุญอีกจำนวนหนึ่ง โดยการจับกุมในครั้งนี้สามารถจับกุม นางหลิน ชาวต่างชาติซึ่งคาดว่าเป็นหัวหน้าขบวนการอุ้มบุญข้ามชาติ 

 

ทลายแก๊งอุ้มบุญข้ามชาติ

โดยในเบื้องต้นพนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 ฐานดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าตามมาตรา 24 มีอัตราโทษตามมาตรา 48 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท ก่อนส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปสอบสวนขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการมาลงโทษตามกฎหมายต่อไป


ด้านนพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กล่าวว่า ประเทศไทยถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ของนั้นมีความก้าวหน้าและทันสมัยอยู่ในอันดับต้นๆของโลก มีอัตราความสำเร็จในการให้บริการตั้งครรภ์โดยเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 46 


ด้วยอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ที่สูงดังกล่าว จึงทำให้ทั้งนายหน้า และคู่สมรสบางรายยอมเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อว่าจ้างหญิงไทยให้รับจ้างตั้งครรภ์ 


ซึ่งการรับจ้างอุ้มบุญนั้นนอกจากจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายของประเทศไทยแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพและก่อให้เกิดปัญหาในด้านมนุษยธรรมต่อเด็กที่เกิด ยิ่งในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งหลายประเทศมีการปิดน่านฟ้า ส่งผลให้หญิงที่รับจ้างอุ้มบุญไม่สามารถเดินทางไปคลอด ณ ประเทศปลายทางได้อย่างกรณีที่เกิดขึ้น 
 

ตรงจุดนี้เองทำให้เด็กที่คลอดออกมาแล้วก็จะทำให้เกิดปัญหาการทอดทิ้งเด็ก หรือปัญหาในการกำหนดสิทธิ์ความเป็นบิดา-มารดา และหากลักลอบเดินทางผ่านช่องทางธรรมชาติก็มีความเสี่ยงที่จะติดโรคโควิด 19 และถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในฐานลักลอบเข้าประเทศอีกด้วย 


"ขอให้คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนดำเนินการใดๆ ทั้งนี้หากพบเห็นหรือทราบเบาะแสการกระทำผิดกฎหมายเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ทั้งรับจ้างอุ้มบุญ โฆษณาชักชวนให้รับจ้างอุ้มบุญ หรือขายไข่-อสุจิ ฯลฯ ขอให้แจ้งมาที่สายด่วนกรม สบส. 1426 กรม สบส.จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดโยไม่มีการละเว้นแต่อย่างใด"