ครม.เห็นชอบเสนอ'ต้มยำกุ้ง'ขึ้นทะเบียน'ยูเนสโก้'เป็นมรดกวัฒนธรรม

23 มี.ค. 2564 | 08:43 น.

กระหึ่มโลกครม.เห็นชอบให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)เสนอ “ต้มยำกุ้ง” ขึ้นทะเบียนต่อ“ยูเนสโก”เป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

 

เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ เห็นชอบให้วธ.เสนอ “ต้มยำกุ้ง” (Tomyum Kung) เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ต่อยูเนสโก ที่ผ่านมาประเทศไทยมีมรดกภูมิปัญญาฯ ได้รับการขึ้นทะเบียนของยูเนสโกแล้ว 2 รายการ คือ โขนและนวดไทย เมื่อปี พ.ศ.2561 และ พ.ศ.2562  โดยมีรายการ “โนรา” และ “สงกรานต์ในประเทศไทย” ที่เสนอไปแล้วและอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของยูเนสโก

ล่าสุดในปี 2564 นี้ ประเทศไทยจะเสนอ “ต้มยำกุ้ง”  เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก เป็นลำดับต่อไป

นายอิทธิพล เปิดเผยต่อว่า วธ.โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เห็นความสำคัญของ ต้มยำกุ้ง อาหารประจำชาติที่ขึ้นชื่อและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ด้วยเป็นอาหารที่มีคุณค่าสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชุมชนเกษตรกรรมริมแม่น้ำลำคลองในภาคกลางของไทย ที่มีวัฒนธรรมการบริโภคอาหารอย่างเรียบง่าย พึ่งพิงธรรมชาติและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีการสืบทอดการทำต้มยำกุ้งในครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง มีผู้ประกอบวิชาชีพด้านอาหาร ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ บุคคล หน่วยงานต่างๆ ที่เป็นเจ้าขององค์ความรู้ ซึ่งภูมิปัญญาการทำต้มยำกุ้ง  นอกจากจะมีการสืบทอดอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังแพร่กระจายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์สูตรต้มยำกุ้งที่แปลกใหม่มากมาย ที่ตอบสนองต่อสภาพทางภูมิศาสตร์ วิถีชีวิตและรสนิยมทางอาหารที่แตกต่างกันไปของคนกลุ่มต่าง ๆ

การเสนอ“ต้มยำกุ้ง” เพื่อขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมฯ ของมนุษยชาติกับยูเนสโก นอกจากจะสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยแล้ว ยังกระตุ้นให้ตระหนักถึงความสำคัญและเห็นคุณค่าในมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของตน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ในความหลากหลายของอาหารไทย สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่ออาหารของไทยในระดับนานาชาติ ทั้งยังสร้างโอกาสทางการตลาดให้ธุรกิจอาหารไทย เกิดการสร้างงานและรายได้ให้แก่ผู้ผลิตวัตถุดิบ อันได้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพร ผู้ส่งออก และผู้ประกอบการร้านอาหารไทย ทั้งในและต่างประเทศ อีกด้วย

รมว.วัฒนธรรม กล่าวต่อว่า สิ่งที่ประเทศไทยต้องดำเนินการหาก “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการขึ้นทะเบียน คือ การจัดทำรายงานสถานะปัจจุบันของมรดกวัฒนธรรมฯ ที่แสดงถึงผลสำเร็จ ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการสงวนรักษา และดำเนินการตามมาตรการการสงวนรักษา “ต้มยำกุ้ง” อย่างเคร่งครัด เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนและความมั่นคงด้านอาหาร และส่งเสริมการศึกษาวิจัยการพัฒนานวัตกรรมอันเกี่ยวกับภูมิปัญญาด้านอาหาร ทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ

เช่น เทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับการถนอมอาหาร คุณภาพของวัตถุดิบ และการรักษาความสดใหม่และคุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงการส่งเสริมการตลาดเพื่อเพิ่มความต้องการการบริโภคอาหารไทยให้ได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างกว้างขวาง อันจะส่งผลดีอุตสาหกรรมอาหาร ธุรกิจการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ