“สเตฟาน” เป็นผู้บริหารชาวฝรั่งเศส ที่ร่วมงานกับชไนเดอร์ อิเล็คทริคมากกว่า13 ปี ด้วยศักยภาพทางด้านพลังงานวิศวกรรมและเทคโนโลยี เขาได้มีโอกาสหมุนเวียนไปทำงานในเครือข่ายของชไนเดอร์ อิเล็คทริคในประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย โดยก่อนที่จะรับตำแหน่งล่าสุด เขาได้ดำรงตำแหน่ง บริษัท กันแซนด์อิเลคทริค ภายใต้ชไนเอร์อิเล็คทริค ที่ประเทศตุรกี กว่า 4 ปี จากนั้นไปรับตำแหน่ง Vice President Marketing & Business Development East Asia Japan ประจำที่สิงคโปร์ ทำให้เขามีโอกาสได้ทำงานร่วมกับทีมชไนเดอร์ อิเล็คทริคในประเทศไทย จึงเกิดความเข้าใจในตลาด และติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง
การเข้ามาทำหน้าที่ล่าสุดครั้งนี้ “สเตฟาน” บอกว่า เป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคม 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่ทั่วโลกรวมทั้งไทยประสบกับภาวะวิกฤติจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ซึ่งเขายอมรับว่า สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบกับธุรกิจของบริษัท ทำให้รายได้ทั่วโลกติดลบไป 4.7% แต่ถือเป็นตัวเลขที่ดีกว่าตลาดโลกซึ่งติดลบอยู่ที่ 10% ขณะที่ไทยเศรษฐกิจติดลบ 6.1% แต่ชไนเดอร์ อิเล็คทริคสามารถทำได้ดีกว่าตลาด และมั่นใจว่าปีนี้จะสามารถทำได้ดีกว่าตลาดอีกแน่นอน จากประเมินการจีดีพีที่ภาครัฐคาดว่าจะขยับขึ้นประมาณเกือบ 3%
สาเหตุที่ผู้นำท่านนี้มีความมั่นใจ เพราะจากทิศทางขององค์กรและบุคลากรที่ขับเคลื่อนธุรกิจ สามารถสนองตอบกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากผลกระทบของโควิด -19 ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี หรือการใช้งานระบบ 5G เช่นเดียวกับตลาดในเมืองไทย เพราะโควิด -19 ผลักดันให้คนเราเข้าไปสู่โลกดิจิทัลได้เร็วยิ่งขึ้น
“สเตฟาน” เล่าว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เตรียมความพร้อมบริการด้านการจัดการพลังงาน (Energy Management) และ ระบบออโตเมชั่น สำหรับอุตสาหกรรม (Industry Automation) ด้วยโซลูชั่นและสถาปัตยกรรมแบบเปิด EcoStruxure ที่รองรับการใช้งาน IoT เต็มรูปแบบ โดยให้บริการลูกค้าใน 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ อุตสาหกรรม และระบบโครงสร้างพื้นฐาน
และบริษัทยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นเบอร์ 1 ของโลกในการเป็นบริษัทที่ยั่งยืนที่สุดประจำปี 2564 (2021 Global 100 Most Sustainable Corporations) จัดทำโดย Corporate Knights ซึ่งในแง่ของแนวโน้มตลาดโลกให้ความสำคัญกับเรื่องของความยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) มากขึ้น ซึ่งชไนเดอร์ ลิเล็คทริค มีความพร้อมในการให้คำแนะนำทางด้านนี้แก่ลูกค้าอย่างเต็มที่
พร้อมกันนี้ ยังได้ซื้อกิจการบริษัทอีกหลายแห่ง เพื่อต่อยอดศักยภาพด้านการจัดการพลังงานและโซลูชันซอฟต์แวร์ ที่สามารถตอบรับการดำเนินงานในอุตสาหกรรม ที่เรียกว่า “4x Integration” ได้แก่ 1.การผสานรวมกันของระบบพลังงานและระบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของ Digital Transformation 2.การเชื่อมต่อเต็มรูปแบบ โดยใช้โซลูชัน EcoStruxure ตั้งแต่ในพื้นที่โรงงาน หรือจุดที่ใช้งานไปยังคลาวด์ 3.ระบบการทำงานแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการสร้าง การใช้งาน และการบำรุงรักษา และ 4.ความสามารถในการบริหารจัดการผ่านศูนย์ปฏิบัติการแบบครบวงจร ซึ่งจะเชื่อมต่อไซต์งานทั้งหมดขององค์กร เข้ากับระบบการจัดการแบบบูรณาการได้จากจุดเดียว
“สเตฟาน” พูดถึงความท้าทายของการทำธุรกิจในไทยปีนี้ว่า คือ เรื่องเอสเอ็มอี ที่จะต้องทำให้เอสเอ็มอีซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มากกว่า 90% ของไทย สามารถทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นได้ ซึ่งถ้าภาครัฐสามารถซัพพอร์ต ชไนเดอร์ อิเล็คทริคก็พร้อมร่วมสนับสนุน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท ชไนเดอร์ อิเล็คทริค
สำหรับการทำงานในประเทศไทย “สเตฟาน” ทิ้งท้ายว่า จากการที่เคยทำงานที่สิงคโปร์ในฝ่ายมาร์เก็ตติ้ง ที่ดูแลทั้งโซนนี้อยู่แล้ว ทำให้รู้จักไทยเป็นอย่างดี ที่สำคัญ คือ ในไทยมีทีมงานที่เป็นมืออาชีพ จากสถานการณ์โควิด ทำให้ทีมไทยแข็งแรงขึ้น ในขณะที่โปรดักสืและบริการของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ค่อนข้างยูนีคมีความโดดเด่นและแตกต่าง โดยเฉพาะด้านดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น เพราะฉะนั้นด้านการทำงานและการขับเคลื่อน จึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง...
สู้ๆ ไทยแลนด์ทีม! ...นั่นคือคำพูดประโยคเด็ดสำหรับทีมงานในไทยของประธานคสัสเตอร์ท่านนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 หน้า 24 ฉบับที่ 3,664 วันที่ 25 - 27 มีนาคม พ.ศ. 2564