“ดร.เอมม่า สจ๊วต” เจ้าหน้าที่ด้านความยั่งยืนของ Netflix กล่าวว่า ในปี 2020 Netflix ได้ปล่อยคาร์บอนออกมาเป็นปริมาณ 1,100,000 เมตริกตัน โดยประมาณครึ่งหนึ่งมาจากการผลิตผลงานภาพยนตร์และซีรีส์ที่เป็นแบรนด์ Netflix ทั้งในส่วนที่บริหารจัดการโดยตรง (เช่น The Midnight Sky: สัญญาณสงัด) และที่ผ่านบริษัทผู้ผลิตภายนอก (เช่น โลกของเรา: Our Planet และ ผจญภัยสุดขั้วกับแบร์ กริลส์ : You vs. Wild) รวมทั้งเนื้อหาที่เป็นแบรนด์ Netflix ที่เราให้สิทธิ์ใช้งาน (เช่น บทเรียนจากปลาหมึก: My Octopus Teacher และเที่ยวติดดินกับแซ็ค เอฟรอน: Down to Earth with Zac Efron)
ส่วนที่เหลือ 45% มาจากการดำเนินงานขององค์กร เช่น อาคารสำนักงาน และสินค้าที่จัดซื้อ เช่น สินค้าที่จัดซื้อสำหรับการตลาด นอกจากนี้ Netflix ยังใช้บริการจากผู้ให้บริการระบบคลาวด์อย่าง Amazon Web Services และเครือข่ายนำส่งเนื้อหาอย่าง Open Connect เพื่อสตรีมบริการ ซึ่งคิดเป็น 5% ของปริมาณมลพิษที่ปล่อยออกมา
Netflix ได้ประกาศเดินหน้าแผนการลดปริมาณมลพิษให้เหลือศูนย์ + การอนุรักษ์ธรรมชาติ (Net Zero + Nature) 3 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1: ลดการปล่อยมลพิษ โดยเริ่มต้นด้วยการลดปริมาณการปล่อยมลพิษภายในองค์กรให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ระบุไว้ในข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และลดการปล่อยมลพิษลง 45% ภายในปี 2030 ตามแนวทางริเริ่มในการกำหนดเป้าหมายตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
ขั้นที่ 2: รักษาแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่มีอยู่ จะเริ่มด้วยการอนุรักษ์พื้นที่ทางธรรมชาติที่กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง เช่น ป่าเขตร้อน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเป้าหมายในการยับยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และ ขั้นที่ 3: กำจัดคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศ ภายในสิ้นปี 2022 จะดำเนินการกำจัดการปล่อยมลพิษในส่วนที่เหลือทั้งหมดให้เป็นศูนย์ โดยดำเนินการลงทุนเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศทางธรรมชาติที่สำคัญ
แผน Net Zero+Nature นี้ ก็นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญของ Netflix ในการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงให้วงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นหน้ากล้องหรือหลังกล้อง ได้มีส่วนร่วมในการรักษาสภาพแวดล้อม ปกป้องความงดงามบนโลกต่อไป...
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 หน้า 24 ฉบับที่ 3,670 วันที่ 15 - 17 เมษายน พ.ศ. 2564