จับตา คลื่นเมียนมาลักลอบเข้าไทยไม่หยุดหย่อนตลอดแนวชายแดนตะวันตก ทั้งอดีตแรงงานเมียนมาที่ทะลักกลับบ้านตอนโควิดรอบแรก และตกค้างจากชายแดนปิดที่คาดมีกว่าแสนคน ที่น่ากลัวคือรอบนี้ยกมาทั้งครัว จากแรงผลักปัญหาความรุนแรงการเมืองบ่อนทำลายความหวังในอนาคตของชาติ ไม่มีงานทำ
รัฐบาลสั่ง“ซีล”ตลอดแนวชายแดนมาตั้งแต่ปลายปี 2563 เพื่อสกัดการลักลอบเข้า-ออกข้ามแดน หวังสกัดการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ทีมข่าวชายแดนรายงานว่า ตลอดแนวพรมแดนไทย-เมียนมาในเขต 5 อำเภอชายแดนของจังหวัดตาก ประกอบด้วย อ.แม่สอด พบพระ แม่ระมาด อุ้มผาง และท่าสองยาง ยังคงมีการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของกลุ่มบุคคลต่างด้าวอย่างต่อเนื่อง
เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก (ด่านแม่สอด) ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการออกตั้งด่านลาดตะเวนและตรวจค้น สามารถจับกุมตามช่องทางชายแดนทั้ง 5 อำเภอ ได้ทุกวัน ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจเข้ม ควบคุมอย่างใกล้ชิดทุกช่องทาง แต่บุคคลต่างด้าวก็ยังคงมีความพยามยามลักลอบเข้ามา และถูกจับกุมเป็นส่วนใหญ่
โดยในห้วงเดือนเมษายน 2564 ซึ่งมีวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ สามารถจับกุมแทบทุกวัน วันละ 20-30 คน ไปจนถึงเกือบ 100 คนก็มี จากการสอบสวนพบว่ามีปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน นอกจากการระบาดเชื้อโควิด-19 ที่เจอไม่ต่างกับไทยแล้ว ยังมีปัญหาความรุนแรงทางการเมืองในเมียนมา ทำให้เศรษฐกิจชะงัก ไม่มีงานทำ ตลอดจนภาวะข้าวยากหมากแพง จนถึงมีการกวาดล้างชนกลุ่มน้อยกองกำลังชนกลุ่มน้อยและชาวบ้านในรัฐกะเหรี่ยงในหลายเมือง จนไม่มีความปลอดภัยในชีวิต ทำให้มีแรงงานเมียนมา รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง พยายามลักลอบข้ามแดน ทางแม่นํ้าเมย เข้ามาฝั่งไทยมากเพิ่มขึ้นทุกวัน
เมื่อ 22 เมษายน 2564 ชุดลาดตระเวนของทหาร ฝ่ายปกครอง ท้องที่ อาสา และชรบ.ตำบลแม่ปะ อ.แม่สอด ร่วมกันจับกุมบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 33 คน พร้อมผู้ติดตามจำนวน 16 คน รวม 49 คน ได้ที่ไร่อ้อย บ้านปากห้วยแม่ปะ ควบคุมตัวไปบันทึกสอบสวนลงประวัติ และนำตัวส่งด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก (ด่านแม่สอด) เพื่อดำเนินการตามกฎหมายและผลักดันกลับภูมิลำเนาต่อไป
นอกจากนี้ ล่าสุดเมื่อ 25 เม.ย. 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง 4 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจทางหลวง (นครสวรรค์) ได้ไล่ติดตามรถกระบะต้องสงสัยที่หลบหนี จนต้องใช้ปืนยิงยางล้อจนหยุดรถกระบะคันนี้ไว้ได้บริเวณริมถนน ภายในพื้นที่หมู่ 2 เทศบาลตำบลพยุหะคีรี อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ โดยสามารถควบคุมตัวนายคมสันต์ ทรัพย์ศรี อายุ 33 ปี ชาว อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ คนขับ พร้อมแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ที่นั่งเบียดเสียดกันทั้งในห้องโดยสารและหลังกระบะ รวมจำนวนถึง 25 คัน ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ รับไปดำเนินคดี
จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่า เป็นแรงงานต่างด้าวลักลอบข้ามนํ้าเมยเข้ามาทางชายแดนอ.แม่สอด จ.ตาก โดยต้องเสียเงินให้นายหน้าเป็นค่าผ่านทาง-ค่านำพา ตั้งแต่เขตเมียนมาไปจนถึงปลายทางที่กรุงเทพฯ เป็นจำนวนเงินหัวละ 17,000 บาท วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ด่านปส.พยุหะคีรี ยังสามารถสกัดจับรถกระบะลักลอบขนแรงงานเถื่อนสัญชาติพม่าได้อีก 1 คัน จำนวน 25 ราย ซึ่งเป็นขบวนการเดียวกัน และกำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวนเพื่อหาต้นกลุ่มนายทุนจ้างวานด้วยเช่นกัน
เจ้าหน้าที่ตำรวจโชว์ผลงานว่ากวาดล้างขบวนการนายหน้าเถื่อน กลางเดือนก.พ. 2564 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. นำทีมแถลงว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการทั้งสกัดกั้นการลักลอบ โดยบูรณาการการทำงานกับหลายหน่วยตั้งแต่ต้นปีสามารถจับกุมต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 396 ราย นำหรือพาคนต่างด้าว 29 ราย และที่มีหมายจับค้างเก่าอีก 19 ราย ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น คนต่างด้าวผิดกฎหมาย 91 ราย ยึดรถของกลางที่ใช้ในการนำพา 22 คัน ออกปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายสำคัญ 21 จุดใน 9 จังหวัด จับกุมผู้ต้องหา 14 คน ยึดรถของกลาง 9 คัน ขยายผลจับกุมเครือข่ายนายหน้าเถื่อนกว่า 10 เครือข่าย ซึ่งรวมถึงจับกุมนางราตรี(เจ๊เพชร) เวชสุวรรณ เครือข่ายใหญ่สุดของภาคกลาง หรือเจ๊ดา ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายกะพ้อ-ยะหริ่ง ชายแดนภาคใต้ เป็นต้น
ขณะที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง รายงานตั้งแต่ต้นปี 2564 จับกุมแรงงานลักลอบเข้าเมืองได้ 2,490 คน
แม้จะสกัดสุดกำลังจับกุมต่อเนื่อง แต่ขบวนการนายหน้าเถื่อนไม่ยอมตาย ยังคงนำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองไม่หยุดหย่อน นอกจากความต้องการแสวงหาโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าของแรงงานต่างด้าวเอง ที่พยายามหาทางกลับเข้ามาทำงานในเมืองไทย ขณะเดียวกันผู้ประกอบการไทยเองก็ต้องการแรงงานต่างด้าวแต่ขับเคลื่อนธุรกิจ โดยเฉพาะกิจการที่แรงงานไทยไม่พร้อมจะทำ
นายอดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ เคยให้ข้อมูลว่า ช่วงโควิดระบาดครั้งแรกจนคนตื่นกลัว มีการล็อกดาวน์ปิดเมือง โรงงานหยุด แรงงานเมียนมาส่วนหนึ่งทะลักกลับประเทศ ทำให้กำลังแรงงานในประเทศหายไปจำนวนหนึ่ง และผลจากการปิดชายแดนของทั้งฝั่งไทยและในประเทศเพื่อนบ้าน เกิดแรงงานตกค้างที่ไม่สามารถกลับเข้ามาทำงานในไทยจำนวนมาก เฉพาะจากเมียนมาคาดมีไม่ต่ำกว่า 100,000 คน ที่อาจลักลอบกลับเข้ามาอีก เมื่อไม่มีช่องทางที่เปิดให้เคลื่อนย้ายอย่างถูกต้อง
ทีมข่าวชายแดนตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การลักลอบของชาวเมียนมาเข้าไทยในระยะหลังพบว่า มีลักษณะเข้ามากันแบบครอบครัว ทั้งพ่อแม่ลูกเมีย มิใช่เฉพาะตัวเองที่จะมาขายแรงงานเท่านั้น แต่ยกครัวมากันเลย ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยต้องมีการตรวจวัดคัดกรองโควิด- 19 อย่างเคร่งคัด เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่า บุคคลเหล่านี้นำเชื้อไวรัสร้ายติดตัวมาด้วยหรือไม่ และเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ไทยต้องเร่งส่งตัวให้ด่านตรวจคนเข้าเมือง ด่านแม่สอด เพื่อผลักดันบุคคลเหล่านี้กลับภูมิลำเนา
นอกจากนี้ในการจับกุมหลายครั้ง เจ้าหน้าที่สามารถยึดรถยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะเพื่อซ่อนเร้นนำพากลุ่มคนหลบหนีเข้าเมือง รวมถึงคนขับขี่ชาวไทยได้ด้วย ทั้งที่จับได้บริเวณริมฝั่งแม่นํ้าเมย หรือจับตามเส้นทางสายต่างๆ ที่ใช้หลบหนี แสดงว่ามีการวางแผน นัดแนะในการนำพาแรงงานเหล่านี้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สะท้อนว่าเครือข่ายนายหน้าเถื่อนยังคงอยู่และดำเนินการเรื่องนี้อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งอาจนิ่งซํ้าเติมวิกฤตการระบาดเชื้อโควิด-19
เชื้อร้ายขบวนการนายหน้าเถื่อนไม่ยอมตาย ขณะที่แรงงานเพื่อนบ้านนับแสนก็มุ่งหน้าเข้าไทย เมื่อประตูให้เข้าออกอย่างถูกต้องยังไม่เปิด ก็ต้องหาทุกช่องเพื่อเล็ดรอดฝ่าด่านกั้นเข้ามาให้ได้ โดยคราวนี้ไม่ได้มาตัวคนเดียว แต่อพยพกันมาแบบ “ยกครัว”
พายุร้ายตั้งเค้าและเคลื่อนประชิดแนวพรมแดนไทยแล้ว
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 หน้า 8 ฉบับที่ 3,674 วันที่ 29 เมษายน - 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
ข่าวที่เกี่ยวข้อง