รายงานข่าวระบุว่า ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha) โดยมีข้อความว่า
สิ่งดีๆของความตระหนก ซึ่งจะเป็นความตระหนักรู้และความเข้าใจในที่สุด เผยแพร่ตั้งแต่ กุมภาพันธ์ 2563 ขณะนี้ 6 พฤษภาคม 2564 ย้อนรอยเดิม ปัดฝุ่นกันใหม่นะครับ และแน่นอน ฉีด วัคซีนด้วย
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ในเรื่องของโคโรน่า 2019 หรือ โควิด-19 (Covid-19) ที่ปรากฏในสังคมขณะนี้เหมือนกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไม่ผิดเพี้ยนตั้งแต่การพยายามมองภาพให้ไม่เป็นไร หน้าร้อนไม่เป็นไรเพราะครั้งนั้น ไข้หวัด 2009 เกิดในหน้าร้อนและระบาดต่อรุนแรง ความไม่เข้าใจในการเกิดโรค จนต้องหาเหตุว่าเมื่อเกิดอาการหนักหรือเสียชีวิตจะต้องมีโรคประจำตัวเสมอ และย้ำแต่เรื่องกลุ่มคนสูงอายุและต้องมีโรคประจำตัวซึ่งไม่ผิดแต่ไม่ถูก เพราะไข้หวัดใหญ่ 2009 และโคโรน่า 2019 อาการหนักในคนปกติได้ถึง 50 ถึง 60% ในรายงานแรกๆ ซึ่งเกิดจากการได้รับเชื้อหนาแน่น
ดังนั้นที่ต้องย้ำเตือนคือถ้าได้รับเชื้อในปริมาณสูงซึ่งเกิดจากการสัมผัสกับคนติดเชื้อซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะที่ในปอดมีปอดบวมหรือปอดอักเสบ และเพาะเชื้อไว้ในปริมาณมาก โดยที่การสัมผัสนั้นใกล้ชิดและอยู่ด้วยกันเนิ่นนาน
โดยที่แม้แต่คนปกติ ที่ทำงคานขายของก็สามารถที่จะมีการติดได้ คนขับรถประจำทาง รถโดยสาร คนที่เข้าไปยังที่หนาแน่น และมีคนติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ ก็ติดได้ และเมื่อได้รับเชื้อมา อาการก็มากตาม และเป็นที่มาที่กรมควบคุมโรคได้ให้คำแนะนำและปฏิบัติในการทำความสะอาด ของห้องผู้โดยสารและแม้กระทั่งห้องพักในโรงแรม เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามโคโรนา 2019 ดูจะมีลักษณะเฉพาะตัว เช่น
1.คนที่ติดเชื้อส่วนใหญ่อาการปกติโดยมีครั่นเนื้อครั่นตัวเท่านั้น น้ำมูกไหลไม่มากหรือไม่มีด้วยซ้ำ ไข้ไม่สูงได้บางคนไม่ถึง 37.5 ด้วยซ้ำ แต่แพร่เชื้อได้ โดยที่ตนเองไม่รู้ตัวว่าเจ็บป่วย
2.การตั้งเกณฑ์ในเรื่องระดับไข้ จึงเป็นเรื่องยากในการคัดผู้สงสัยว่าติดเชื้อ และเช่นเดียวกันเป็นการยากสำหรับคนทั่วไปที่จะสังเกตว่าตนเองติดเชื้อหรือไม่
3.คนที่ติดเชื้อและมีปอดบวมจนสามารถเห็นได้ชัดเจนจากเอกซเรย์มีจำนวนหนึ่งซึ่งมากพอสมควร กลับอาการไม่มากและใช้ชีวิตได้ตามปกติ
4.หน้ากากอนามัยถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์มากในการกันการแพร่เชื้อโรคจากคนที่ใส่มากกว่าที่จะกันเชื้อที่จะเข้าหา อาจจะมีประโยชน์มากในกรณีโคโรน่า 2019 เนื่องจากไม่มีใครทราบว่าใครติดเชื้อใส่ไว้ทุกคนก็ไม่ผิดไม่อยู่ในกลุ่มคนหมู่มากเพื่อว่าตนเองอาจติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว
5.หน้ากากอนามัยในกรณี โควิด 2019 นี้ การใส่เพื่อป้องกันเชื้อจากภายนอก อาจจะเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อเข้าไปอยู่ในสถานที่คนพลุกพล่านพล่านแออัด เนื่องจากเป็นการแพร่ทางละอองฝอยของน้ำลายไม่ว่าจะเกิดจากการพูด การไอ โดยที่ละอองเหล่านี้ไปได้ไกล 2 เมตร ดังนั้นคำกล่าวที่ว่าหน้ากากอนามัยไม่จำเป็นต้องใส่อาจจะไม่ถูกต้อง
ทั้งนี้แล้วการใส่เพื่อเป็นการสกัดกั้นไม่ให้ละอองเหล่านี้เข้าใบหน้า จมูกปาก ที่ต้องไม่ลืมคือดวงตาเยี่อบุตา ที่ละอองเหล่านี้เข้าไปและก่อให้เกิดการติดเชื้อได้
ดังนั้นการใส่หน้ากากอนามัยของประชาชนในที่ชุมชนจะเปรียบเสมือนการที่หมอและพยาบาลใส่หน้ากากเมื่อดูคนไข้ที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ
ในส่วนของหน้ากากนั้นแม้จะใช้หน้ากากอนามัยสองชั้นที่ไม่มีชั้นกลางในการกรองเชื้อโรคหรือใช้หน้ากากผ้าหนาๆ ก็ยังพอใช้ได้เพื่อกันละอองเชื้อเข้าปะทะโดยตรง
6.การใช้หน้ากากอนามัยและแว่นตาครอบสามารถช่วยได้ระดับหนึ่งถ้าการใส่และการถอดนั้นไม่ไปสัมผัสกับผิวภายนอกที่มีเชื้อปะปนแล้ว และต้องประกอบไปด้วยมือที่ต้องทำการหมั่นล้างอยู่บ่อยๆ เมื่อสัมผัสกับพื้นผิวไม่ว่าอะไรก็ตามแม้กระทั่งลูกบิดประตู ราวจับในรถประจำทาง พื้นผิวเฟอร์นิเจอร์โต๊ะเก้าอี้ โดยใช้แอลกอฮอล์ 70% ไม่ต้องใช้ถึง 100% และถ้าดูสกปรกมากใช้น้ำและสบู่ไปเลย
สำหรับหน้ากากเอ็น 95 เป็นหน้ากากสำหรับแพทย์และพยาบาลที่ต้องดูคนไข้และมีความจำเป็นที่ต้องทำปฏิบัติดูดเสมหะหรือสิ่งคัดหลั่ง จนทำให้เกิดละอองฝอยขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน ในคนปกติจะใส่เอ็น 95 ก็ไม่ผิดเมื่อดูภาวะอากาศแล้วพบว่ามีพีเอ็ม 2.5 หนาแน่น
7.การใช้ภาชนะ ในการกินอาหาร ช้อนกลาง ตะเกียบกลาง แก้วน้ำ ของตนเอง และกินอาหารสุกร้อนเป็นเรื่องสำคัญทั้งนี้เนื่องจากภาชนะเหล่านี้ปนเปื้อนด้วยน้ำลายที่อาจมีเชื้อได้
นับตั้งแต่มีการ ระบาดในประเทศจีนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2019 จนกระทั่งเดือนมกราคม 2020 ที่เริ่มมีผู้ป่วยในประเทศไทยที่เป็นชาวต่างประเทศจนกระทั่งถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2020 ที่มีการแพร่เชื้อกันเองในหมู่คนในประเทศ การรับรู้สภาพการความจริงในระยะแรกอาจวุ่นวายเหมือนกับเมื่อ 10 ปีที่แล้วไข้หวัดใหญ่ 2009 แต่สภาพการปรับตัว และการเรียนรู้การป้องกันตัวน่าจะอยู่ในระดับน่าพอใจมาก
และทางการก็มีการตระเตรียมพร้อมไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้ากากให้ประชาชน อุปกรณ์การป้องกันตัวของแพทย์และพยาบาล และการให้ความรู้แก่ผู้ให้บริการสาธารณะ ซึ่งต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง
เป็นนิมิตหมายที่ดีที่สามารถเปลี่ยนความตระหนก เป็นความรู้ซึ่งนำมาสู่การป้องกันตัวได้อย่างถูกต้อง ชีวิตต้องดำเนินไป จะมีการแพร่เชื้อโรคมากหรือน้อยไม่สำคัญในเมื่อมีการป้องกันตนอย่างเข้มแข็ง เช่นนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :