นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงมาตรการสินเชื่อ เยียวยาโควิดว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ยังมีความไม่แน่นอนสูง การระบาดระลอกใหม่ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคธุรกิจบริการ โรงแรม ร้านอาหาร รถบริการรับส่งคน ซึ่งมีพนักงานและลูกจ้างได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก ทำให้รายได้หายไปหรือลดลง และมีสัญญาณว่าลูกหนี้รายย่อยมีความยากลำบากในการชำระหนี้มากขึ้น
โดยการประเมินของสถาบันการเงินพบว่าลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการเดิมยังคงต้องการความช่วยเหลือต่อเนื่องและมีลูกหนี้ใหม่ที่ต้องการรับความช่วยเหลือในครั้งนี้ ซึ่งเป็นความเปราะบางที่สะสมมาตั้งแต่การระบาดของโควิด 19 ในระลอกแรก จำเป็นจะต้องช่วยเหลือในเรื่องภาระหนี้ที่มีอยู่กับสถาบันการเงิน
ประกอบกับที่ผ่านมามีลูกหนี้ขอรับความช่วยเหลือรวมยอดหนี้ 3.7ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสินเชื่อรายย่อยมูลค่า1.9ล้านล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 50%ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 1.1ล้านล้านบาท สินเชื่อบ้าน 6แสนล้านบาทและสินเชื่อเช่าซื้อ 2แสนล้านบาท
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ธปท. จึงได้ร่วมมือกับผู้ให้บริการทางการเงิน ผ่านสมาคมและชมรมต่าง ๆ รวม 8 แห่ง1 ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 3 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ โดยยกระดับมาตรการเดิมให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น ซึ่งมุ่งเน้นช่วยลดภาระหนี้ในระยะยาว มีทางเลือก มีความยืดหยุ่น และมีวิธีปฏิบัติที่ชัดเจน สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะครอบคลุมสินเชื่อ 4 ประเภท บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน
“ มาตรการระยะที่ 3 ธปท.ได้หารือธนาคารพาณิชย์ นันแบงก์และแบงก์รัฐ เพื่อให้เป็นมาตรการเพิ่มเติม โดยประเภทบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล อยากเห็นการขยายระยะเวลาเพิ่มขึ้น, ส่วนจำนำทะบียนรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์อยากเห็นทางเลือกในการคืนรถ หรือหากมีภาระหนี้คงเหลือทางผู้ประกอบการจะดูแลสอคล้องความสามารถลูกหนี้ เช่น พักชำระค่างวด, ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อ อยากเห็นช่วงพักชำระดอกเบี้ยสถาบันการเงินต้องไม่คิดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยเดิม หรือถ้ามีภาระหนี้เหลือก็บริหารจัดการให้,และสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะเพิ่มทางเลือกพักเงินต้น จ่ายดอกเบี้ยบางส่วน หรือชำระคืนเป็นขั้นบันได”
นางสาวเรขา สันตะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ธปท.กล่าวว่า ในส่วนของลูกหนี้ที่จะเข้ารับความช่วยเหลือในระยะที่ 3 นี้ กำหนดคุณสมบัติต้องไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2563 และเริ่มโครงการขอรับความช่วยเหลือในมารตาการช่วยเหลือลูกหนี้ระยะที่ 3 ได้ตั้งแต่ วันที่ 17 พฤษภาคม – 31ธันวาคม 2564
นอกจากแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้ทั้ง 4ประเภททั้งพักชำระหนี้ ยืดระยะเวลาผ่อนให้ยาวขึ้นแล้ว ในส่วนของการรวมภาระหนี้กับสินเชื่อบ้านกับสินเชื่อส่วนบุคคลหรือเช่าซื้อ เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ EIR ก็จะเป็นอีกแนวทางเลือก หรือกรณีลูกหนี้เช่าซื้อรายใดต้องการโปะ ก็จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 50% แต่ในทางปฎิบัติลูกหนี้สามารถหารือกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ เนื่องจากลูกหนี้ต้องเผชิญปัญหาไม่เท่ากัน ดังนั้น การพิจารณาแนวทางจึงต้องหารือกับเจ้าหนี้โดยตรง ทั้งนี้ การรวมหนี้ที่ผ่านมามีลูกหนี้ขอรับความช่วยเหลือราว 2,000-3,000ราลคิดเป็นมูลหนี้ประมาณ 4,000ล้านบาท ส่วนรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือทั้ง 4ประเภทสินเชื่อได้แก่
1. บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล (Revolving & Installment Loan) : เน้นการบรรเทาภาระหนี้โดยขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้ยาวขึ้น และจ่ายอัตราดอกเบี้ยลดลง
2. สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ : เพิ่มทางเลือกการพักชำระค่างวด และสำหรับลูกหนี้จำนำทะเบียนรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ให้มีทางเลือกในการคืนรถ โดยหากมีภาระหนี้คงเหลือจากการขายประมูล ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถช่วยลดภาระหนี้ให้สอดคล้องกับสถานะของลูกหนี้
3. เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ : กำหนดแนวทางในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา (Effective Interest Rate: EIR) ไม่ให้สูงขึ้นกว่าอัตราดอกเบี้ยเดิม และปรับวิธีการคิดดอกเบี้ยช่วงที่พักบนค่างวดที่พักชำระหนี้ สำหรับลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ให้มีทางเลือกในการคืนรถ โดยหากมีภาระหนี้คงเหลือจากการขายประมูล ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถช่วยลดภาระหนี้ให้สอดคล้องกับสถานะของลูกหนี้
4. สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน : เพิ่มทางเลือกด้วยการพักเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยบางส่วน และให้ลูกหนี้สามารถทยอยชำระคืนเป็นขั้นบันได (step up) ตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
นอกจากนี้ ธปท. มีช่องทางสนับสนุนในการช่วยเหลือลูกหนี้ที่เดือดร้อน คือ
1. มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ สำหรับการช่วยเหลือลูกหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล ได้ขยายเวลาออกไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และจะเพิ่มการไกล่เกลี่ยหนี้เช่าซื้อในระยะต่อไป
2. โครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน เพื่อเป็นแหล่งให้ข้อมูลและข้อแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขหนี้รายย่อยและธุรกิจ ซึ่งลูกหนี้สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและนำไปแก้ไขปัญหา หรือบอกต่อข้อแนะนำแก่ผู้ใกล้ชิดได้ โดยศึกษาข้อมูลได้ทาง www.bot.or.th/app/doctordebt/ ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบสามารถศึกษาและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือได้ที่ผู้ให้บริการทางการเงินของท่าน ผ่านช่องทางต่าง ๆ
สำหรับลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพ ธปท. สนับสนุนให้ทยอยชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการพักชำระเงินต้น และ/หรือดอกเบี้ย จะยังคงมีการคิดดอกเบี้ยตามระยะเวลาการกู้ยืมอยู่ ซึ่งจะทำให้ภาระการชำระหนี้ของลูกหนี้เพิ่มขึ้นในระยะยาว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :