รายงานข่าวระบุว่า ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha) โดยมีข้อความว่า
เข็มแรกอย่างหนึ่ง ตามด้วยเข็มสองอีกยี่ห้อ
16/6/64
อาจไม่มีความจำเป็นต้องวิตกเพราะการฉีดคนละยี่ห้อ มีการศึกษาทั้งที่สเปน และเยอรมัน และเป็นหัวข้อขององค์การอนามันโลก
ที่เริ่มด้วย แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ตามด้วยไฟเซอร์ (pfizer)หรือโมเดอร์นา (Moderna)
ประโยชน์ ของ mix and match หรือ prime and boost ปนกันคนละขั้วหรือเทคนิค คือ
1.มีภูมิคุ้มกันในน้ำเหลืองสูงขึ้นกว่าธรรมดา ตามการศึกษาดังข้างต้น
2.และในกรณีของแอสตร้าที่ส่วนของโควิดที่ฝากไว้กับไวรัสตัวอื่นคือ อดิโนไวรัส (adenovirus) เข็มถัดมา เกรงว่าร่างกายจะรับรู้ และทำลายไวรัสไปก่อน ทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง ซึ่งหมายถึงการใช้เข็มที่สามด้วย
3.นอกจากนั้น หวังว่า วัคซีนคนละเทคนิคดังกล่าวอาจจะช่วยเสริมสร้างภูมิข้ามสายพันธุ์ให้ดียิ่งขึ้นโดยเฉพาะเดลต้าอินเดีย
ทั้งนี้ ในประเทศไทย แม้จะเป็นเชื้อตาย ซิโนแวค (Sinovac) ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) กับแอสตร้า ควบรวมกัน ไม่น่ามีปัญหาและอาจได้ประโยชน์เพิ่ม ในด้านผลข้างเคียง ไม่ชัดเจนว่าเกิดผลร้ายมากขึ้นกว่า การใช้ ยี่ห้อเดียว
รายงานแรกๆ อาจมีต่อมน้ำเหลืองโตที่รักแร้บ้าง และในประเทศสิงคโปร์ถ้าแพ้รุนแรง จากไฟเซอร์ โมเดนา เข็มสองเป็น ชิโนแวคได้
ข้อสำคัญ การมีผลข้างเคียงไม่ใช่เรื่องดี และ ไม่ทำให้ภูมิสูงขึ้นกว่าธรรมดา
สรุป ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า ต่อจากนี้ จงใจเปลี่ยนยี่ห้อ แต่ถ้าคนละยี่ห้อก็ไม่เสียหาย
ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้รวบรวมตัวเลขสถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิด-19 (Covid-19) ของประเทศไทยวันที่ 28 ก.พ.-15 มิ.ย.64 จากศูนย์ข้อมูล COVID-19 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ฉีดสะสมแล้วจำนวน 6,780,816 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 4,948,227 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 1,832,589 ราย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :