ดร.อุตตม สาวนายน ประธานที่ปรึกษา ThailandFuture (สถาบันอนาคตไทยศึกษา) กล่าวในโอกาสที่ ThailandFuture เปิดตัวอย่างเป็นทางการวันนี้ (8 ก.ค.) ว่า ThailandFuture เปิดตัวขึ้นในเวลาที่ประเทศไทยและคนไทย กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
จากโจทย์ที่สำคัญเหล่านี้ ทีม ThailandFuture จึงเกิดขึ้นจากการรวมตัวของ กลุ่มคนจากหลายภาคส่วน หลากหลายประสบการณ์และอาชีพ จากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ รวมทั้งหลายช่วงอายุ โดยอาสาทำงานแบบเวทีเปิด (Open Platform) ที่ส่งเสริมสนับสนุน การรวมพลังความคิดของคนไทย เพื่อร่วมกันคิด วิเคราะห์และตกผลึกในการแก้ไขปัญหา อุปสรรคที่สั่งสมมานาน รวมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศอย่างคลอบคลุมและยั่งยืน
"ผมจึงขอเชิญชวนทุกท่านมาสัมผัส ThailandFuture มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด มุมมองกับทีมงาน เพื่อให้เรามีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตไทยด้วยกัน" ดร.อุตตมกล่าว
ดร.อุตตม กล่าวย้ำกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ThailandFuture มีวัตถุประสงค์จัดตั้งดังกล่าวข้างต้น ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆทางการเมือง “แม้ผมเองจะเคยทำงานด้านการเมือง แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้ว และด้วยความผูกพันที่มีมากับ ThailandFuture ตั้งแต่ยุคก่อตั้งในปี 2555 ก็เลยมาช่วยเป็นที่ปรึกษาให้ ผมย้ำตรงจุดนี้เพราะทาง ThailandFuture เป็นองค์กรวิชาการอิสระครับ เขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
ในแง่การดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมนั้น ThailandFuture กำหนดบทบาทตัวเองเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมที่มีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์แนวโน้มของอนาคตและทำหน้าที่เป็น “ตัวเร่ง-ตัวรวม” ทรัพยากรของประเทศเพื่อค้นทางออกนโยบายรูปแบบใหม่ โดยตั้งเป้าเป็นแพลตฟอร์มนโยบายตัวกลางที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนอนาคตของประเทศ ผ่านการเชื่อมต่อผู้รับนโยบายเข้ากับผู้คิดนโยบาย ผ่านการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วม และผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีหลักฐาน เพื่อที่จะนำไปสู่นโยบายและอนาคตที่ดีกว่า
โดย พื้นที่นโยบายที่ ThailandFuture มุ่งเน้นเป็นพิเศษ ประกอบด้วย 5 เสาหลักสำคัญ ได้แก่
แนวทางการผลักดันเสาหลักการพัฒนาของ ThailandFuture คือการผนึกความร่วมมือควบคู่องค์ความรู้ เพื่อตกผลึกแนวทางการออกแบบนโยบายสาธารณะยุคใหม่ตามแนวทางของ ThailandFuture DNA ผ่าน 4 ภารกิจหลัก ได้แก่
ด้าน ดร. ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ ThailandFuture กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ ‘ไฟแห่งปัญหา’ รอบทิศทางทั้งไฟปัญหาเก่าที่รุมเร้า ท่ามกลางเสาหลักเศรษฐกิจและสังคมที่กำลังผุพัง ทำให้การเติบโตชะลอลง ซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไฟปัญหาใหม่ที่กำลังปะทุจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงยังมีฟืนความท้าทายที่รอวันลุกไหม้จากเทรนด์คุกคามอีกมากมาย เช่น ความไม่พร้อมต่อการไปสู่สังคมสูงวัย การมาของ automation การผงาดขึ้นของจีน และภาวะโลกร้อน ”
ดร. ณภัทร ย้ำว่าปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่ว่าประเทศไทยมีทรัพยากรไม่เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศชาติ “คนที่มีความสามารถเรามี ทุนเราก็มี เพียงแค่มันอยู่ไม่ถูกที่ถูกเวลา อยู่ภายใต้ระบบการทำงานที่ขาดประสิทธิภาพ ความชัดเจน และเต็มไปด้วยความสับสน และมันก็ได้กำเริบออกมาให้เห็นในการพลาดท่าต่อสายพันธุ์เดลต้า แต่หากลองถอยออกมา จะพบว่าต้นตอของปัญหาทั้งหมดทั้งปวงสามารถถูกยุบลงมาให้เห็นได้กระจ่างว่ามันล้วนเกิดมาจากการขาดหลักการและประสิทธิภาพในการจัดสรรและบริหารทรัพยากรเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม”
ดร. ณภัทร ยังได้เสนอแนวคิด “ไตรลักษณ์นโยบายอนาคต” ที่ ThailandFuture ขออาสานำมาประยุกต์ใช้ช่วยพาไทยรอดพ้นวิกฤตและเท่าทันโลก เริ่มจาก
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ประธานกรรมการบริหาร ThailandFuture กล่าวทิ้งท้ายว่า จุดมุ่งหมายสูงสุดของ ThailandFuture คือ อนาคตที่การคิดการทำนโยบายในการพัฒนาอนาคตประเทศ จะเป็นกระบวนการที่ “ทุกคน” สามารถเข้าใจ เข้าถึง มีส่วนร่วมได้ และค้นพบว่าเป็นกิจกรรมที่คุ้มค่า “ประเทศไทยเป็นของเราทุกคน ไม่ว่าความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชีวภาพ หรือแม้กระทั่งความคิด ล้วนแล้วแต่เป็นเสน่ห์ของเรา อยากชวนพวกเรามาแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ให้ประเทศก้าวเดินต่อไปครับ”
ทำเนียบผู้บริหาร ThailandFuture