"Rapid Antigen Test"-"Rapid Antibody Test" ต่างกันยังไง ใครดีกว่า เช็กที่นี่

12 ก.ค. 2564 | 08:56 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.ค. 2564 | 15:55 น.

หมอเฉลิมชัยเผยข้อมูลการใช้ชุดตรวจโควิด-19 Rapid Antigen Test การตรวจหาเชื้อไวรัส กับ Rapid Antibody Test การตรวจหาภูมิคุ้มกันแตกต่างกันยังไง ใครดีกว่า ระบุปัจจุบันมี 24 บริษัทที่นำเข้าอุปกรณ์และได้รับการจดทะเบียนของ อย.

รายงานข่าวระบุว่า น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า  
Rapid Antigen Test หรือการตรวจหาเชื้อไวรัส แตกต่างกับ Rapid Antibody Test หรือการตรวจหาภูมิคุ้มกัน อย่างไร ใครดีกว่ากัน
จากสถานการณ์โควิดระบาดระลอกที่สาม ซึ่งมีการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อไวรัสอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ทำให้ประชาชนที่มีประวัติเสี่ยง ว่าจะสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ และอาจจะกลายเป็นผู้ติดเชื้อเอง มีจำนวนเพิ่มทวีคูณขึ้นเป็นเงาตามตัว
ความต้องการที่จะพิสูจน์ทราบว่า ตนเองติดเชื้อหรือไม่ จึงมีเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วยเช่นกัน
ในปัจจุบัน การตรวจเพื่อพิสูจน์ทราบว่า มีการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิดหรือไม่ มีวิธีการที่จะพิสูจน์ทราบอย่างน้อย 3 วิธี ได้แก่
1.RT-PCR เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรง เก็บจากสารคัดหลั่งในโพรงจมูกด้านหลัง (Nasopharyngeal swab)
2.Rapid Antigen Test เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรง และเก็บจากสารคัดหลั่งในจมูกเช่นกัน
3.Rapid Antibody Test เป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อไวรัส แล้วจึงนำมาแปลผลเชื่อมโยงว่า มีการติดเชื้อหรือไม่ เป็นการตรวจจากเลือดที่ปลายนิ้ว
ในบรรดาสามวิธีดังกล่าวข้างต้น วิธีที่มีความแม่นยำสูงที่สุด และเชื่อถือได้มากที่สุดในขณะนี้คือวิธี RT-PCR แต่ก็มีข้อจำกัดหลายประการได้แก่
1.การเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่ง จากโพรงจมูกด้านหลัง ยุ่งยากมาก ต้องแหย่ลึกเข้าไปถึงโพรงจมูกทางด้านหลัง จึงไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง
2.เมื่อได้ตัวอย่างสารคัดหลั่งแล้ว  การนำสารคัดหลั่งไปตรวจ ต้องรอผลนาน 4-24 ชั่วโมง ในบางรายถ้าคิวยาวอาจใช้เวลาหลายวัน
3.มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เฉพาะต้นทุนจริงประมาณ 1500-2000 บาท
จึงทำให้เกิดคอขวด ในการตรวจคนหมู่มาก เช่นในประเทศไทยขณะนี้  แม้ตรวจได้ประมาณวันละ 80,000 ราย ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ

จึงต้องมาพิจารณาอีกสองวิธี ที่มีความแม่นยำและเชื่อถือได้น้อยกว่าได้แก่
1.Rapid Antigen Test เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรง แต่สามารถเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งในจมูกส่วนตื้นได้ จึงสามารถทำที่สถานพยาบาลขนาดเล็ก เช่น คลินิก หรือทำเองที่บ้านได้ สามารถทราบผลในเวลาที่รวดเร็ว กว่า คือทราบผลในเวลา 15-30 นาที ราคาค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 300-800 บาท แต่มีความแม่นยำสู้วิธี RT-PCR ไม่ได้ คือจะตรวจพบเป็นบวกได้ช้ากว่าการตรวจใน 1-3 วันแรกของการติดเชื้อ จะได้ผลเป็นลบ ต้องรอให้ถึงวันที่ 5 ไปแล้ว จึงจะมีโอกาสตรวจพบเป็นบวก และยังมีเรื่องความจำเพาะเจาะจง (Specificity) อาจจะมีผลบวกลวงหรือผลลบลวงได้ด้วย

\"Rapid Antigen Test\"-\"Rapid Antibody Test\" ต่างกันยังไง ใครดีกว่า เช็กที่นี่
2.Rapid Antibody Test เป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อไวรัส  ไม่ใช่ตรวจหาไวรัสโดยตรง จึงมีความจำเพราะเจาะจงแม่นยำน้อยกว่า และต้องรอเวลานานกว่า คือ ต้องรอให้มีภูมิคุ้มกันขึ้นให้ชัดเจน ส่วนใหญ่ต้องเกินวันที่ 5 ไปแล้ว และมีความยุ่งยากในการแปลผลมากกว่า เพราะระดับภูมิคุ้มกันมีสองชนิด ซึ่งจะแปลผลต่างกัน แต่การตรวจ ทำได้สะดวกและง่ายกว่าคือ เจาะเลือดที่ปลายนิ้ว
กล่าวโดยสรุปแล้ว
วิธี Rapid Antigen Test เป็นวิธีที่มีความน่าเชื่อถือและแม่นยำกว่าวิธี Rapid Antibody Test แต่ทั้งสองวิธีสู้วิธีพื้นฐานเดิมคือ RT-PCR ไม่ได้
แต่เมื่อมีความจำเป็น จะต้องเปิดโอกาสให้มีการตรวจที่กว้างขวางขึ้น จึงต้องเลือกวิธี Rapid Antigen Test ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1.ใช้วิธีเก็บสารคัดหลั่งโดยการแยงจมูก ส่วนจะแยงลึกหรือตื้นเพียงใด ก็แล้วแต่ว่าเป็นของบริษัทใด
2.สามารถตรวจได้ที่คลินิกหรือสถานที่ที่รัฐกำหนด และในระยะต่อไปจะอนุญาตให้ซื้อจากร้านขายยาไปตรวจเองที่บ้านได้
3.จะตรวจพบไวรัสได้ในวันที่ห้าเป็นต้นไป
4.ราคาอยู่ในหลักร้อยบาท
5.ความไว (Sensitivity) และความแม่นยำ (Specificity) ดีกว่าวิธีตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันโรคจากการเจาะเลือดปลายนิ้ว
หมอเฉลิมชัย ระบุอีกว่า ขณะนี้มี 24 บริษัท ที่นำเข้าอุปกรณ์ดังกล่าว และได้รับการจดทะเบียนของอย.เรียบร้อยแล้ว ในช่วงแรกจำเป็นที่จะต้องไปตรวจที่สถานพยาบาลก่อน แต่ในระยะต่อไปจะอนุญาตให้ซื้อจากร้านขายยาไปตรวจเองที่บ้านได้ เมื่อถึงจุดนั้น จำเป็นที่จะต้องเลือกดังนี้
1.ดูบริษัทที่ขึ้นทะเบียนกับอย.ไว้แล้วเท่านั้น
2.เมื่อจะซื้อ ต้องตรวจดูว่ามี เครื่องหมายรับรองของ อย.จริง
3.ตรวจดูวันผลิตและวันหมดอายุ
4.เมื่อเปิดกล่องดูอุปกรณ์ ต้องตรวจดูความเรียบร้อย
5.อ่านวิธีการตรวจ และวิธีแปลผล ให้เข้าใจโดยถ่องแท้ จะได้ทำได้ถูกต้องไม่ผิดพลาด และเวลาอ่านผลจะได้เข้าใจถูก ว่าติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้ออย่างไร
สิ่งที่ตามมาของการตรวจดังกล่าวในเชิงนโยบายภาพรวม คือ ข้อดี ทำให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจได้รวดเร็วขึ้น มากขึ้น ไม่ต้องรอคิวนาน ความคับข้องใจลดลง
ข้อด้อย ผลไม่ได้แม่นยำ จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจ จะได้ไม่เกิดวิตกเกินกว่าเหตุ หรือประมาทเกินกว่าเหตุ และยังจะต้องมีการตรวจซ้ำ

นอกจากนั้น จะพบมีผู้เป็นผลบวกเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ซึ่งจะต้องเตรียมการทำความเข้าใจกับคนที่ทราบผลเป็นบวกว่า จะต้องกักตัวอย่างไร ทั้งการกักตัวเองที่บ้าน (Home Isolation) การกักตัวในชุมชน (Community Isolation) หรือการไปสู่โรงพยาบาลสนามเป็นวิกฤตที่เกิดมาจากมาตรการ ควบคุมโรคระบาด ที่เน้นการประคับประคองมิติทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดจนมิติทางสาธารณสุขรับไม่ไหว วิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อรักษามิติทางสาธารณสุข จึงมีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นเป็นลำดับแบบในปัจจุบันนี้
สมควรที่ผู้เน้นมาตรการประคับประคองมิติทางเศรษฐกิจ จะต้องเร่งทำให้ตนเอง มีความรู้ความเข้าใจที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เกิดวิจารณญาณ  และมีทัศนคติที่สามารถเห็นทางออกของสังคมในระยะยาว ที่จะเสียหายและกระทบกระเทือนน้อยที่สุดต่อไป
และควรปรับเปลี่ยน หรือเลิกความเชื่อที่ว่า ถ้าประคองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไปเรื่อยเรื่อย แล้วปล่อยให้สาธารณสุขรับปัญหาไป สุดท้ายแล้วโรคระบาดจะจบสิ้นลงด้วยดี ควรเปลี่ยนแปลงแนวคิดความเชื่อแบบนี้เป็นอย่างยิ่ง และอย่างรวดเร็วด้วย
อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบของ "ฐานเศรษฐกิจ" นั้น ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีการแถลงข่าวประเด็นแนวทางการใช้ Antigen Test Kit ในการตรวจโควิด-19 (Covid-19)ที่บ้าน และแนวทางการรับผู้ป่วยกรณีการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และการแยกกักตัวในชุมชน (Community Isolation) ผ่านระบบออนไลน์เฟซบุ๊กไลฟ์กระทรวงสาธารณสุข
นพ.เกียรติภูมิ แถลงว่า กรณีการมารอตรวจเชื้อโควิดจำนวนมากนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุข พยายามวางระบบแก้ปัญหา โดยกรณีการตรวจเชื้อโควิด ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กรมควบคุมโรค มีการพิจารณาการตรวจหาเชื้อ โดยปัจจุบันมีชุดตรวจที่เรียกว่า Antigen Test Kit หรือ ATK จะนำมาใช้ในวงกว้างมากขึ้น 
แต่เนื่องจากชุดตรวจนี้ยังมีปัญหาอยู่ คือ 1.ชุดตรวจนี้ให้ผลประมาณ 90% ทางวิทยาศาสตร์ยอมรับได้ แต่ทางการแพทย์ยังคิดว่าอาจมีช่อง จึงต้องปิดช่องโหว่ และ 2. เมื่อตรวจพบผลบวก หรือลบ จะทำอย่างไร ทางสธ.จึงร่วมกับกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย ภาคประชาสังคมต่างๆ จัดระบบมาดูแล โดยเดิมเราตรวจหาเชื้อผ่าน RT-PCR เมื่อพบเชื้อให้รักษาในรพ. ปรากฎว่าขณะนี้มีปัญหาเรื่องเตียง จึงเปลี่ยนแนวคิดว่า หากป่วยไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย ให้ดูแลรักษาที่บ้านที่เรียกว่า Home Isolation (HI) และการแยกกักตัวในชุมชน กรณีชุมชนมีความเข็มแข็งก็จะจัดสถานที่ดูแลเรียกว่า Community Isolation (CI)
“ทั้งสองแบบจะมีระบบสาธารณสุขไปติดตามดูแล เมื่อเข้าสู่ระบบนี้ จะติดตามวันละ 2 ครั้ง มีเครื่องมือวัดไข้ วัดออกซิเจน ให้ยา ทำให้การดูแลที่บ้าน มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่หลุดออกจากระบบสาธารณสุข พร้อมๆกับมีชุดตรวจ ATK ซึ่งระยะแรกจะใช้ในสถานพยาบาลก่อน ได้แก่ รพ. หรือคลินิก หรือคลินิกชุมชนอบอุ่น หรือคลินิกต่างๆที่ใกล้เคียง สามารถไปขอใช้บริการ ซึ่งเมื่อผลออกมาบวกหรือลบ ทางคลินิกจะช่วยเหลือต่อไป และจะสอนวิธีการตรวจ อีกทั้ง ในอนาคตจะทดสอบด้วยตัวเอง น่าจะเป็นสัปดาห์หน้า วางจำหน่ายในร้านขายยา หากผลบวกลบอย่างไรให้ติดต่อคลินิกใกล้บ้าน เพื่อรองรับตัวท่านต่อไป”
สำหรับชุดตรวจ ATK ในทุกสถานพยาบาลจะมีชุดตรวจดังกล่าว โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.2564 เป็นต้นไป แต่ขอย้ำว่า หากพบผลลบ ขอให้ตรวจซ้ำ 3-5 วัน แต่หากผลบวกให้ติดต่อหน่วยบริการใกล้บ้าน เช่น คลินิกชุมชนอบอุ่น หรือรพ.ใกล้บ้าน โดยจะมีระบบส่งต่อ หรืออาจแนะนำให้ดูแลตัวเองที่บ้าน โดยจะมีทีมบุคลากรดูแล 
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงชุด Antigen Test Kit ว่า ปัจจุบันขอเรียกว่า ชุด Antigen Test Kit แต่ไม่ขอเรียกว่า Rapid Antigen Test เพราะจะเกิดความสับสน คำว่า แรพิด ที่แปลว่าเร็ว อาจเข้าใจว่าตรวจจับไวรัสเร็ว ซึ่งไม่ใช่ แต่เป็นการรู้ผลเร็ว จึงขอเปลี่ยนเป็นใช้คำว่า Antigen Test Kit โดยปัจจุบันมี 24 ยี่ห้อ และขึ้นทะเบียน เป็นแบบ Professional Use ต้องใช้ในบุคลากรทางการแพทย์ ไม่สามารถตรวจเองได้ แต่ในอนาคตทาง อย.เสนอให้ปลดล็อกตรงนี้ ว่า หากมีการวางจำหน่ายในร้านยา ประชาชนก็อาจซื้อไปตรวจได้
นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า การตรวจเชื้อนั้นทำเหมือนการตรวจแบบ RT-PCR คือแยงจมูก ไปจนคอหอย หรือทางช่องปาก ตรวจทางน้ำลาย ขึ้นอยู่กับชุดตรวจว่า ให้เก็บสิ่งส่งตรวจอย่างไร โดยการตรวจชนิดนี้เป็นการคัดกรองเบื้องต้น ซึ่งความจำเพาะ และความไว สู้แบบ RT-PCR ที่เป็นวิธีมาตรฐานไม่ได้ แต่การรอคิวนาน ชุดตรวจนี้ก็จะช่วยได้เบื้องต้น แต่ถ้าคนที่มีอาการมากๆ ขอให้ตรวจ RT-PCR แต่หากสถานพยาบาลไหนมีคนรอตรวจมากๆ เบื้องต้นตรวจด้วย Antigen Test Kit ก่อน และหากผลบวกก็ต้องคอนเฟิร์ม RT-PCRอีกที ส่วนคนที่สงสัยและไม่มีอาการใดๆ เบื้องต้นท่านอาจไปพบคลินิก หรือสถานพยาบาลใกล้บ้านกำหนด เพื่อร้องขอการตรวจด้วยชุด Antigen Test Kit ก่อนได้ โดยหากพบว่า เป็นผลลบ ซึ่งชุดตรวจนี้หากเชื้อไม่มากพออาจตรวจไม่เจอ ดังนั้น ต้องตรวจซ้ำ หากไม่มีอาการให้รอ 3-5 วันค่อยตรวจซ้ำ แต่หากมีอาการก็ตรวจได้เลย
“ขณะนี้สปสช. กำลังดำเนินการและจะกำหนดว่า สถานพยาบาลแห่งใดบ้าน ที่ประชาชนสามารถร้องขอชุดตรวจ ATK ที่ไหนบ้าง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่อนาคตจะเปิดช่องให้สามารถซื้อขายได้ต่อไป ซึ่งเมื่อมีมากราคาก็จะถูกลง”