ตามที่สภากาชาดไทยได้จองนำเข้าวัคซีน “โมเดอร์นา” จำนวน 1 ล้านโดส โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อฉีดให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางนั้น เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2564 สภากาชาดไทยได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึง ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด
โดยสาระสรุปได้ว่าให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ที่มีความประสงค์จองวัคซีนโควิด-19เพื่อไปฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางและกลุ่มอื่นๆ โดยไม่คิดมูลค่า สามารถแจ้งมายังสภากาชาดไทย ภายใน 21 ก.ค.นี้ พร้อมแจ้งแนวทางบริหารจัดการวัคซีน
นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย ลงนามในหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้ว่าราชการจังหวัด โดยมีใจความว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้มีประกาศ เรื่อง
แนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ลงวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ซึ่งได้ให้สภากาชาดไทยเป็นหน่วยงานหนึ่งในการสั่งนำเข้าวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชน ดังความแจ้งแล้ว นั้น
ขณะนี้ สภากาชาดไทยได้สั่งจองวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 Moderna จำนวนหนึ่งจากผู้แทนจำหน่ายในประเทศไทยผ่านองค์การเภสัชกรรม เพื่อนำมาฉีดบริการให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางและกลุ่มต่างๆ โดยไม่คิดมูลค่า ตามพันธกิจของสภากาชาดไทย
ทั้งนี้สภากาชาดไทยจะได้จัดสรรโควตาวัคซีนจำนวนหนึ่งให้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อนำไปฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางและกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ โดยมีเงื่อนไขสำคัญว่าต้องดำเนินการฉีดให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่า และแผนการฉีดวัคซีนดังกล่าวต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการควบคุมโรคจังหวัด และเงื่อนไขอื่นๆ รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย
สภากาชาดไทย จึงขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดได้แจ้งให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดในพื้นที่ที่มีความประสงค์จะซื้อวัคซีนไปฉีดบริการให้กับประชาชนตามเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น และกรุณาแจ้งมายังสภากาชาดไทย ภายในวันที่ 21 กรกฎาคม 2564 นี้ด้วย
สำหรับแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนสำหรับประชาชน ของสภากาชาดไทย มีรายละเอียดดังนี้
สภากาชาดไทยเป็นองค์กรด้านสาธารณกุศล ดำเนินกิจกรรมด้านมนุษยธรรม มีนโยบายในการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยสนันสนุนการดำเนินงานของรัฐ
ด้วยการจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 Moderna จำนวนหนึ่ง ให้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่มีความประสงค์จะซื้อวัคซีนไปฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายโดยไม่คิดมูลค่า โดยมีเงื่อนไขดำเนินการ ดังนี้
1. องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ต้องจัดทำ “แผนการขอรับการจัดสรรวัคซีน” เพื่อนำวัคซีนไปฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ตามที่สภากาชาดไทยกำหนด พร้อมจำนวนคนในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 5 กลุ่ม ตามลำดับ ได้แก่
1) คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง สตรีตั้งครรภ์ ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาก่อน
2) ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาก่อน
3) บุคลากรทางการแพทย์และพยาบาล ในถิ่นทุรกันดาร
4) ผู้ที่ทำงานประจำอยู่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ครูผู้สอนในโรงเรียนอนุบาล หรือครู อาจารย์ ผู้ที่ทำหน้าที่สอนหนังสือในโรงเรียน ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาก่อน
5) บุคลากรที่ต้องออกปฏิบัติงานสัมผัสประชาชน ตามโครงการฉีดวัคซีนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาก่อน และบุคคลที่ยังไม่สามารถรับการฉีดวัคซีนได้ เนื่องจากติดขัดระเบียบหรือกฎหมาย
2. องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ต้องเสนอ “แผนการขอรับการจัดสรรวัคซีน” โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด
3. เงื่อนไขที่สำคัญ ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ต้องดำเนินการดังนี้
1) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการกับสภากาชาดไทย ต้องสนับสนุนงบประมาณค่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 Moderna ราคา 1,300 บาท/โดส ให้แก่ สภากาชาดไทย เพื่อนำไปจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 Moderna มาให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)
สำหรับเงินค่าวัคซีนโดสละ 1,300 บาท นั้นเมื่อหักต้นทุนวัคซีนและค่าบริหารจัดการตามโครงการแล้ว เงินส่วนที่เหลือจากค่าใช้จ่ายดังกล่าว จะได้นำเข้าสมทบใน “กองทุนสภากาชาดไทย เพื่อจัดหาวัคซีนโควิด-19 และยารักษาโรคโควิด-19 สำหรับประชาชน” ต่อไป
2) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ต้องจัดบริการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน กลุ่มเป้าหมาย โดยไม่คิดมูลค่าและห้ามนำไปจำหน่ายโดยเด็ดขาด
3) เมื่อสภากาชาดไทย แจ้งการจัดสรรโควต้า ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) แล้วขอให้ชำระเงินเต็มตามจำนวนที่ได้รับอนุมัติจากสภากาชาดไทย ภายในวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ก่อนเวลา 12.00 น.
4) สภากาชาดไทยจะทยอยจัดสรรวัคซีนได้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นไป
หมายเหตุ : หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และหรือวิทยาการความก้าวหน้าของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เปลี่ยนแปลงไป สภากาชาดไทยจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป
จากข้อมูลของเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเผยแพร่ประกาศศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เรื่องแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ลงวันที่ 8 มิ.ย. 2564
ได้ระบุถึงการอนุญาตให้ 5 หน่วยงานหลักมีสิทธิในการนำเข้าวัคซีนต้านโควิด-19 ได้อย่างเร่งด่วน ประกอบด้วย 1) กรมควบคุมโรค 2) องค์การเภสัชกรรม 3) สถาบันวัคซีนแห่งชาติ 4) สภากาชาดไทย และ 5) ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์