จับตา ยกระดับ “ล็อกดาวน์-ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด" เข้มกว่าเดิม เร็วๆนี้

16 ก.ค. 2564 | 17:05 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.ค. 2564 | 22:45 น.

จับตา เร็วๆนี้ ศบค.จะยกระดับขั้นสูง ทั้ง “มาตรการล็อกดาวน์” และคุมเข้ม “การเดินทางข้ามจังหวัด” มากกว่า เดิม จากการโพสต์เฟซบุ๊กของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 

ค่ำวันที่ 16 ก.ค. 64 นับเป็นอีกวันที่เป็นสัญญาณการยกระดับขั้นสูงสุด ในการเตรียมออกมาตรการล็อกดาวน์ และคุมเข้มการเดินทางข้ามจังหวัด อีกครั้ง หลังจากการแถลงของทีมโฆษกศบค. และล่าสุดกับการที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค. โพสต์เฟซบุ๊กส่งสัญญาณออกมาชัดเจน

เริ่มจากช่วงกลางวันของวันที่ 16 ก.ค. สัญญาณยกระดับมาตรการขั้นสูงสุด มาจาก “พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์” ผู้ช่วยโฆษกศบค. แถลงผลการประชุมศบค.ว่า  ในการประชุมศบค.วาระพิเศษวันนี้ได้มีการติดตามมาตรการในพื้นที่เฝ้าระวังสูงสุดและเข้มงวด ช่วง 5 วันที่ผ่านมา 

จับตา ยกระดับ “ล็อกดาวน์-ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด\" เข้มกว่าเดิม เร็วๆนี้

เพื่อประเมินการควบคุมการแพร่ระบาด โดยศูนย์ปฏิบัติการการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) รายงานว่ามีการกระทผิด 217 ราย เป็นการฝ่าฝืนมาตรการออกนอกเคหสถาน 158 ราย ฝ่าฝืนการห้ามรวมกลุ่ม 59 ราย ดำเนินคดีไปทั้งสิ้น 45 คดี ส่วนที่เหลือเป็นการว่ากล่าวตักเตือน ตรงนี้ส่วนหนึ่งมาจากการแจ้งเบาะแสของประชาชน 

โดยทางศปม.ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่จะทำงานอย่างเข้มงวด และขอความร่วมมือให้ประชาชนทำตามมาตรการ ขณะที่กระทรวงคมนาคมได้รายงานว่ายังคงมีการเดินทางของประชาชนอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการออกนอกพื้นที่สีแดงเข้มด้วย สอดคล้องกับการรายงานของกรมควบคุมโรคที่ยังพบผู้ติดเชื้อจากวงไพ่ที่เล่นกันหลังกระบะรถยนต์ 

และมีการย่อหย่อนมาตรการไม่สวมหน้ากากขณะเดินทางข้ามจังหวัด จากรายงานดังกล่าวทำให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ แต่มีบางส่วนไม่สามารถทำตามมาตรการได้

จับตา ยกระดับ “ล็อกดาวน์-ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด\" เข้มกว่าเดิม เร็วๆนี้

พญ.อภิสมัย กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ดังกล่าวที่ประชุมเป็นห่วง และเห็นว่าอาจต้องปิดกิจการบางอย่างมากขึ้น มากที่สุด และอาจต้องปรับมาตรการให้เข้มข้นขึ้น จากสัปดาห์ที่ผ่านมาให้เปิดกิจการ กิจกรรมถึงเวลา20.00 น.เพื่อให้มีเวลาเดินทางกลับก่อนเวลา21.00 น.ที่กำหนดห้ามออกนอกเคหะสถาน

ซึ่งมาตรการล็อกดาวน์ที่ประกาศไปนั้นเป็นไปตามสถานการณ์ที่เป็นปัจจุบันเป็นการล็อกดาวน์เป็นพื้นที่ เฉพาะใน 10 จังหวัด ไม่ใช่ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด 

"แต่เมื่อทบทวนมาตรการช่วง5 วัน ยังพบว่าการบังคับใช้มาตรการยังน่าเป็นห่วง นายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.ศบค.ขอให้คณะแพทย์ที่ปรึกษาทบทวนมาตรการสาธารณสุข เพื่อเสนออย่างเร่งด่วน ขอให้ประชาชนและสื่อติดตามอาจจะมีการปรับมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้นจากนี้”

จับตา ยกระดับ “ล็อกดาวน์-ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด\" เข้มกว่าเดิม เร็วๆนี้

ทั้งนี้เน้นย้ำขอให้ประชาชนเข้มงวดและปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคล ดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องและรับมือกับโรคระบาดมาตรการที่อาจจะทำให้ยากลำบาก เช่น จำกัดการเดินทางขอทำความเข้าใจว่าเป็นการลดจำนวนผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิต จึงขอความเสียสละจากทุกคนร่วมกันให้ชนะไปด้วยกัน

ต่อมา ช่วงค่ำวันเดียวกัน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กส่งสัญญาณชัดเจนในการยกระดับมาตรการระดับว่า 

เรียนพี่น้องประชาชนทุกท่าน

หลังจากที่ผมได้ประกาศยกระดับการควบคุมสถานการณ์ใน 10 จังหวัดสีแดงเข้ม พร้อมทั้งประกาศเคอร์ฟิวและจำกัดการเดินทาง ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. ที่ผ่านมา ในวันนี้ ผมได้เรียกประชุม ศบค.เป็นวาระพิเศษ โดยได้เชิญคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่างๆเพื่อทำการประเมินสถานการณ์และความจำเป็นในการปรับแผนการ

ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดยังคงไม่ลดลง โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และจังหวัดอื่นๆในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลส่วนหนึ่งมาจากเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น และการหยุดการเคลื่อนตัวของประชาชนยังคงทำได้ไม่มากพอ ทำให้มีการประเมินว่าในระยะต่อไป หากยังไม่มีมาตรการที่เข้มงวดขึ้น สถานการณ์อาจจะทวีความรุนแรงขึ้นอีก จนมีผลร้ายแรงต่อระบบสาธารณสุขในวันนี้ ที่ประชุมจึงมีมติว่า มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มมาตรการจำกัดการเดินทางของประชาชนให้มากที่สุด และเพิ่มการปิดสถานที่ต่างๆให้เหลือเท่าที่จำเป็น รวมทั้งการออกกฎการทำงานที่บ้านอย่างสูงสุด ซึ่งคณะแพทย์ที่ปรึกษาจะทำการปรึกษาหารืออย่างละเอียดรอบคอบ โดยศึกษาจากรูปแบบการล็อกดาวน์ในประเทศต่างๆ เพื่อทำเป็นมาตรการเสนอต่อ ศบค. อย่างเร่งด่วนเพื่อดำเนินการโดยเร็วที่สุด 

 

ผมขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด โดยเฉพาะใน 10 จังหวัดสีแดงเข้ม และจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ได้เตรียมความพร้อมในการยกระดับการควบคุมการเดินทางที่เข้มงวดยิ่งขึ้น และมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดในแต่ละจังหวัด โดยให้คงความเข้มงวดแต่ให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ในการประกาศมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดขึ้นนี้ ย่อมมีผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งเตรียมแผนการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนไว้อย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อภาคการคลังของประเทศ โดยจากการปิดสถานที่ล่าสุดนี้

รัฐบาลได้มีการออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถจ่ายเงินชดเชยพี่น้องประชาชนได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทั้งการชดเชยผู้ประกอบการและลูกจ้างใน 9 กลุ่มกิจการใน 10 จังหวัดสีแดงเข้ม รวมถึงผู้มีอาชีพอิสระด้วย 

นอกจากนั้นยังได้มีมาตรการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งลดค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นเวลาสองเดือน และล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย รวมกับสมาคมธนาคารไทย และสมาคมธนาคารนานาชาติ ออกมาตรการเร่งด่วน พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 2 เดือนให้กับทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้าง ที่ต้องปิดกิจการ และพิจารณาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ยังไม่ปิดกิจการแต่มีรายได้ลดลง และยังจะมีมาตรการอื่นๆที่พิจารณาโดยเร่งด่วน เช่นการลดค่าใช้จ่ายทางการศึกษา

ด้านสาธารณสุข ในที่ประชุมวันนี้ ได้รับทราบมาตรการการตรวจหาเชื้อโควิดแบบ Antigen Test Kit ควบคู่ไปกับการตรวจคัดกรองเชิงรุกแบบเดิมที่เร่งดำเนินการอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ซึ่งการตรวจ Antigen Test Kit นี้ ประชาชนสามารถดำเนินการด้วยตนเองในการตรวจได้เอง ซึ่งจะลดการแออัดในการขอตรวจกับจุดตรวจต่างๆ 

ซึ่งจะมีกระบวนการในการดำเนินการอย่างชัดเจน หากได้ผลบวก ก็จะมีการตรวจซ้ำกับโรงพยาบาลและจุดตรวจอีกครั้งเพื่อยืนยันผล และแยกรักษาตามอาการ ทั้งการกักตัวที่บ้านหรือศูนย์โควิดชุมชนสำหรับผู้ป่วยสีเขียว และการรักษาที่โรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขเชื่อว่าวิธีการนี้จะช่วยลดความแออัดของเตียงผู้ป่วยในกรุงเทพฯลงได้ และรัฐบาลกำลังดำเนินการทุกทางที่จะเพิ่มการรองรับผู้ป่วยในทุกระดับ ทุกพื้นที่

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะให้มีการจัดฉีดวัคซีนแบบผสมสูตร คือ Sinovac และ AstraZeneca เป็นแนวทางควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีน AstraZeneca 2 เข็ม และการฉีดวัคซีนกระตุ้น (Booster Dose) สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีน Sinovac 2 เข็ม โดยเข็มที่สามให้เป็น AstraZeneca หรือ Pfizer ที่จะได้รับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาในเดือน ก.ค. นี้ 

ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการในทรัพยากรวัคซีนที่เรามีอยู่ โดยอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งได้รับการรับรองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของประเทศ และผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย และรัฐบาลจะเร่งดำเนินการจัดหาวัคซีนจากทุกๆแหล่งที่สามารถทำได้ให้ได้มากที่สุด เร็วที่สุด โดยไม่เคยปิดกั้นการจัดหาวัคซีนทางเลือกจากภาคเอกชน

“สุดท้ายนี้ ผมขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนร่วมกันตระหนักถึงความจำเป็นที่เราอาจจะต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดมากขึ้นในเร็วๆนี้ และอาจจะทำให้เราได้รับผลกระทบ ได้รับความไม่สะดวกในหลายๆอย่าง แต่ขอให้พี่น้องประชาชนทุกท่านได้เข้าใจว่า ทุกมาตรการที่ออกมา มาจากการพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งทางด้านสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจ และผมเชื่อว่า หากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันได้อย่างเต็มที่ ประเทศไทยจะต้องฝ่าวิกฤตนี้ไปได้โดยเร็วที่สุดครับ”