คาด 2 ปี ผ่าน วิกฤติโควิด ดุสิตโพล จี้รัฐบาลจริงใจแก้ปัญหา

18 ก.ค. 2564 | 04:15 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ก.ค. 2564 | 11:21 น.

สวนดุสิตโพล เผย คนไทยส่วนใหญ่ ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ชี้ไทยวิกฤตยอดติดเชื้อเพิ่มสูง จี้ รัฐบาลจริงใจแก้ปัญหา ไม่แสวงหากำไรจากประชาชน ขณะ 36.74 % เชื่อมากกว่า 2 ปี ถึงผ่านวิกฤติ

“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,702 คน เรื่อง คนไทยในยุควิกฤต โควิด-19 ระหว่างวันที่ 5-15 กรกฎาคม 2564 เมื่อถามถึงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของประชาชน พบว่า ร้อยละ49.35 ระบุ ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนรองลงมา ร้อยละ 38.84 ระบุ ฉีดแล้ว 1 เข็ม ร้อยละ 11.81 ระบุ ฉีดแล้ว 2 เข็ม

 

โดยกลุ่มที่ฉีดวัคซีนแล้วเข็มที่ 1 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า อยากฉีดเข็มที่ 2-3 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า ร้อยละ 41.86 ไฟเซอร์ ร้อยละ 25.39 ส่วนกลุ่มที่ฉีดเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค อยากฉีดเข็มที่ 2-3 เป็น ไฟเซอร์ ร้อยละ 30.07 โมเดอร์นา ร้อยละ 26.09 ขณะ กลุ่มที่ฉีดเข็มที่ 1 เป็นซิโนฟาร์ม อยากฉีดเข็มที่ 2-3 เป็น ซิโนฟาร์ม ร้อยละ 50.00 โมเดอร์นา ร้อยละ25.00 ไฟเซอร์ ร้อยละ 16.67

 

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใดที่บ่งชี้ว่าประเทศไทยเข้าสู่ภาวะวิกฤติ พบว่า ร้อยละ 89.24 ระบุ ยอดผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น รองลงมา ร้อยละ 81.08 ระบุ บุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด-19/คนทำงานไม่เพียงพอ ร้อยละ 77.71 ระบุ สถานประกอบการ/ร้านค้า ปิดกิจการ คนตกงาน ว่างงาน

พร้อมกันนี้เมื่อถามถึงวิธีที่ประเทศไทยจะฝ่าวิกฤตได้ พบว่า ร้อยละ 78.47 ระบุ รัฐบาลต้องจริงใจ ไม่แสวงหากำไรจากประชาชน รองลงมา ร้อยละ 76.70 ระบุ ฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้บุคลากรทางการแพทย์โดยเร็ว ร้อยละ 75.04 ระบุ จัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและหลากหลายยี่ห้อให้ประชาชน

 

เมื่อถามความคิดเห็นประชาชนว่าประเทศไทยจะสามารถผ่านวิกฤตได้เมื่อไหร่ พบว่า ร้อยละ 36.74 ระบุ มากกว่า 2 ปี รองลงมา ร้อยละ 27.60 ระบุ 1 ปี ร้อยละ 25.93 ระบุ 2 ปี

 

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงหน่วยงานที่จะสามารถนำพาประเทศพ้นวิกฤต พบว่า ร้อยละ 36.15 ระบุ ประชาชนทุกภาคส่วนช่วยกัน รองลงมา ร้อยละ 17.03 ระบุ นายกรัฐมนตรี ร้อยละ 10.61 ระบุ กระทรวงสาธารณสุข

คาด 2 ปี ผ่าน วิกฤติโควิด ดุสิตโพล จี้รัฐบาลจริงใจแก้ปัญหา

ขณะ ดร.กวิตา ปานล้ำเลิศ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานวิทยาเขตสุพรรณบุรีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า ในวันนี้สิ่งที่เราจำเป็นต้องคำนึงถึงคือ การเพิ่มภูมิคุ้มกันหมู่ให้ประเทศ ผู้ที่รับวัคซีนย่อมมีภูมิคุ้มกันมากกว่าคนที่ไม่ได้รับวัคซีน ดังตัวอย่างประเทศจีนที่ทำประสบความสำเร็จมาแล้ว ขอให้ประชาชนยังไม่ได้รับวัคซีนลงทะเบียนและรับวัคซีนตามนัดหมาย

 

ส่วนคนที่รับวัคซีนเข็มที่ 1 แล้วต้องการจะรับวัคซีนต่างชนิดนั้น ต้องคำนึงถึงระยะเวลาและวัคซีนที่ต้องการ อาจต้องจัดสรรให้กลุ่มเสี่ยงก่อน เมื่อดูถึงยอดตัวเลขติดเชื้อเพิ่มขึ้นในวันนี้พบว่าขึ้นถึงหลักหมื่น และบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ขาดกำลังหลักในการทำงาน เรียกได้ว่าประเทศไทยอยู่ในสภาวะวิกฤติแล้ว ส่วนยอดผู้ติดเชื้อจะถึงหลักแสนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับประชาชนคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ ภาคเอกชน
รวมทั้งทุกคนในชาติ ต้องร่วมแรงร่วมใจกันจึงจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ ในอดีตเราเคยมีการสู้รบระหว่างประเทศ แต่ปัจจุบัน การสู้รบครั้งนี้เรามีศัตรูเดียวกันคือโควิด-19 เราต้องช่วยกันจึงจะก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันได้อย่างแน่นอน