ครม.เคาะซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่ม12ล้านโดส ฉีดสูตรไขว้แอสตร้าเซนเนก้า

07 ก.ย. 2564 | 08:51 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.ย. 2564 | 18:22 น.

มติที่ประชุมครม.ล่าสุด เห็นชอบงบ 4.2 พันล้านบาท จัดหาวัคซีนโควิด ยี่ห้อซิโนแวคเพิ่มอีก 12 ล้านโดส รองรับการฉีดวัคซีนสูตรไขว้หรือสูตรผสมกับ แอสตร้าเซนเนก้า ร่นระยะเวลาฉีดสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เร็วขึ้น 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 กันยายน 2564 มีมติ เห็นชอบจัดหาวัคซีนโควิดยี่ห้อซิโนแวคเพิ่มเติม เพื่อฉีดวัคซีนสูตรไขว้กับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 12 ล้านโดส โดยครม.อนุมัติกรอบวงเงิน 4,254.36 ล้านบาท สำหรับเพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแก่ประชาชน ใน 4 กลุ่มเป้าหมาย ดังนี้ 

1.กลุ่มประชาชนที่มีโรคประจำตัว ได้แก่

  • โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง (ปอดอุดกั้น หอบหืด)
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด
  • โรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 (ไตวายเรื้อรัง)
  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • โรคมะเร็งทุกชนิดที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด รังสีบำบัดและภูมิคุ้มกันบำบัด
  • โรคเบาหวาน
  • โรคอ้วน (BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 35 น้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม) 

2. ประชาชนอายุ 60 ปีขึ้นไป

3. เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโควิด-19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย เช่น ด่านควบคุมโรคตามชายแดน สถานกักกันโรค ทหาร ตำรวจ เจ้าที่เก็บขยะติดเชื้อเป็นต้น 

4. ประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

นายธนกรฯ กล่าวถึงการจัดหาวัคซีนซิโนแวคจำนวน 12 ล้านโดสนี้ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการจัดหาวัคซีนให้แก่ประชาชน เพราะเป็นวัคซีนที่ผลิตแล้วไม่ต้องทำการจัดซื้อล่วงหน้าเช่นเดียวกับวัคซีน ทำให้สามารถส่งมอบได้ในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค.

และยังเป็นการรองรับการฉีดวัคซีนสูตรผสมและเพิ่มความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศที่รวดเร็วยิ่งขึ้น 

โดยเฉพาะในกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มวัยแรงงาน 8 ล้านคน และกลุ่มแรงงานต่างด้าว 2 ล้านคน โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อชะลอไม่ให้เกิดการติดเชื้อและแพร่กระจายในวงกว้าง การฉีดวัคซีนไขว้ระหว่างวัคซีน Sinovac และแอสตร้าเซนเนก้า( AZ) 


 

จะสามารถร่นระยะเวลาการฉีดลงได้ และยังทำให้เกิดภูมิคุ้มกันในระดับสูงตามผลการวิจัย ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแก่ประชาชน ลดอัตราการป่วย/การเสียชีวิต และลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรคโควิด-19  รวมทั้งลดผลกระทบ ฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว