4 พ.ย. 2564 - จากกรณีรัฐบาล เปิดให้ร้านอาหาร สถานประกอบการ ธุรกิจท่องเที่ยว ฯ สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ โดยให้ดื่มได้ไม่เกิน 21.00 น. ตามมาตรการเปิดประเทศ โดยเงื่อนไข ต้องลงทะเบียน SHA Plus หรือ โครงการยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย ระบุ เงื่อนไขการได้รับสัญลักษณ์ SHA Plus ต้องเป็นกิจการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน SHA มาก่อน และมีหลักฐานบุคลากรฉีดวัคซีนตามเกณฑ์ที่กำหนด (พนักงานฉีด 70%, แผนกต้อนรับฉีด 100%) ซึ่งร้านอาหาร กิจการต่างๆ สามารถยื่นเรื่องลงทะเบียน SHA Plus ได้ที่เว็บไซต์ www.thailandsha.com อย่างไรก็ตาม พบยังเกิดปัญหาติดขัด และยุ่งยากหลายประการเกิดขึ้น ทั้งวิธีการลงทะเบียน และเงื่อนไข
ล่าสุด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจกลางคืนชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว @ChuvitKamolvisit วิพากษ์ถึงประเด็นดังกล่าว ว่าได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ในโอกาสฟื้นตัว คล้ายเป็นการซ้ำเติม มากกว่าเอื้อประโยชน์ ในหัวข้อ เปิดประเทศ “ให้เคี้ยว แต่ไม่ให้กลืน” โดยมีเนื้อหาระบุ ดังนี้ ...
เปิดประเทศมาตั้งแต่วันที่ 1 รัฐบาลประกาศปาวๆ เชิญชวนต่างชาติมาท่องเที่ยว แต่หามีความพร้อมไม่?
เอาแค่ร้านอาหารที่ว่าให้ขายแอลกอฮอล์ หรือโรงแรมที่จะเปิดรับการเปิดประเทศต้องมี SHA Plus ไว้ควบคุม
ดูเหมือนจะปล่อยให้ดื่ม แต่ก็กั๊กไว้ด้วยระเบียบควบคุมหยุมหยิม จะว่าดีมันก็ดีที่ป้องกันไว้ก่อน
แต่การสมัคร SHA Plus มีขั้นตอนมากมายซับซ้อนยุ่งยาก เหมือนแทนที่จะสนับสนุน กลับซ้ำเติมให้ปิดต่อไป
แม้ว่าต้องมีการควบคุม แต่หน่วยงานรัฐควรจะช่วยธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ให้พร้อมรับการเปิดประเทศ ฟื้นฟูธุรกิจ ลืมตาอ้าปากได้โดยเร็ว
เพราะถึงจะเปิดประเทศแล้ว แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะกลับไปได้ทันใจเหมือนก่อนโควิด
ภาระหน้าที่ของรัฐ คือ “สนับสนุน” ไม่ใช่ “ซ้ำเติม” แล้วเอาไปโฆษณา อ้างบุญคุณ เวลาแถลงข่าวอวดผลงาน
แถมระบบ SHA Plus ที่บังคับให้ทุกธุรกิจเปิดรับนักท่องเที่ยวต้องลงทะเบียน ยังล่มเอาเสียดื้อๆ เจ้าหน้าที่สารพัดก็เกิดขยัน ตรวจเช้าสายบ่ายเย็น ไม่มี SHA Plus เปิดไม่ได้
เมื่อก่อนตอนระบาดหนัก ติดต่อหน่วยงานราชการก็อ้างว่า “ช่วงโควิด ไม่มีใครมาทำงาน work from home กันหมด รอไปก่อน”
แต่ตอนนี้กลับฟิตจัด work from heart ตรวจแล้วตรวจอีกตอนคนเขาจะรีบทำมาหากิน หายาไส้ลูกเมีย เลี้ยงพนักงาน แค่เอาธุรกิจให้รอดยังลำบาก อย่าไปคิดหากำรี้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เพราะมองเห็นอยู่แล้วว่าเป็นยังไง
ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับบรรดาผู้ประกอบการแต่อย่างใดเลย
ต้องสไตล์ “ตัวใครตัวมัน” เหมือนเช่นเคย
เพราะรัฐบาลไทยมักจะใช้นโยบาย “ให้เคี้ยว แต่ไม่ให้กิน ให้กิน แต่ไม่ให้กลืน”
ทำอะไรกั๊กๆ กล้าๆ กลัวๆ ทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี สั่งอย่างเดียว ส่วนลูกน้องก็ได้แต่ทำตามระเบียบไม่ให้ตกหล่น ไม่มีวิจารณญาณตัดสินอะไรได้ แล้วแต่นโยบายเบื้องบน
หาได้รู้ว่า ธุรกิจต่างๆ ที่ผ่านมา 2 ปีในช่วงโควิดต้องล่มสลาย ปิดตัว เจ๊ง ไปเท่าไหร่แล้ว?
ตอนนี้ยังจะมาสร้างบรรยากาศอึมครึม เข้มงวดด้วยการประเคนกฎระเบียบยิบย่อยมากมายหลากหลายหน่วยงานที่ขยันออกตรวจตรา
สงสารบรรดาธุรกิจที่หวังจะลืมตาอ้าปากในช่วงรัฐบาลประกาศเปิดประเทศ
แต่กลับต้องเจอมาตรการโหดสารพัด “ความไม่พร้อมแต่อยากเปิด”
เมื่อให้เปิด ก็ควรให้การสนับสนุน แนะนำ ไม่ใช่ควบคุม บีบคั้น ทำไม่ได้ก็เปิดไม่ได้ ในเมื่อรัฐบาลเป็นเจ้าภาพออกนโยบาย หากต้องการให้สำเร็จต้องมีคนที่เข้าใจทำงานครับท่าน
ไม่ใช่เอาคนมาหากินบนความเดือดร้อนของประชาชนคนหาเช้ากินค่ำ
คนทำธุรกิจร้อยล้านพันล้าน บริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะใช้มาตรฐานเดียวกันกับร้านค้าหรือ โรงแรมขนาดเล็กได้ไง?
เอาใจนายทุน แต่ไม่เห็นหัวชาวบ้าน
ทำงานกันสะเปะสะปะ หน่วยงานนั้นว่าอย่าง อีกหน่วยงานไปอีกอย่าง
บางทีหน่วยงานหนึ่งบอกสั่งไปแล้ว แต่อีกหน่วยงานบอกไม่รู้เรื่อง
การเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟูธุรกิจให้ลืมตาอ้าปากได้ มันน่าจะพร้อมกว่านี้ไหม?
ไม่ใช่เปิดไป ช่วยตัวเองไป ทั้งๆ ที่ผ่านมาเจ็บตัวอยู่แล้ว ก็เข้าใจได้