รายงานข่าวระบุว่า น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า
ไวรัสโอมิครอนดื้อต่อวัคซีน ฉีด 2 เข็มไม่พอ ต้องกระตุ้นด้วยเข็มที่ 3 เป็นรายงานการศึกษาเบื้องต้นของไฟเซอร์ (Pfizer)
หลังจากที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่โอมิครอน (Omicron) อยู่ในกลุ่มไวรัสหน้าเป็นห่วงกังวล (VOC) เมื่อ 26 พฤศจิกายน 2564
และมีหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตวัคซีนได้ออกมาแถลงว่า จะเร่งทำการศึกษาในห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินประสิทธิผลของวัคซีนในการรับมือกับไวรัสโมมิครอน เพื่อที่จะแจ้งข้อมูลเบื้องต้นได้ว่า วัคซีนมีประสิทธิผลกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่มากน้อยอย่างไร
ขณะนี้ (8ธ.ค. 64) ทางผู้บริหารบริษัท Pfizer ได้ออกมาแถลงข้อมูลการศึกษาเบื้องต้น สามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. การศึกษาในห้องปฏิบัติการเบื้องต้นพบว่า
1.1 วัคซีนของ Pfizer 3 เข็ม รับมือกับไวรัสโอมิครอนได้ดี โดยวัดที่ 1 เดือนหลังฉีดเข็ม 3
1.2 วัคซีน Pfizer 2 เข็ม มีความสามารถในการรับมือกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
2.วัคซีน 3 เข็ม เพิ่มระดับภูมิคุ้มกันในการรับมือกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ได้สูงถึง 25 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับกรณีวัคซีน 2 เข็มในการรับมือกับไวรัสสายพันธุ์เดิม
3.วัคซีน 2 เข็ม ยังสามารถรับมือผู้ติดเชื้อที่จะมีอาการป่วยรุนแรงได้ดี เนื่องจากพบว่าในส่วนหนามประมาณ 80% ซึ่งจะถูกจดจำด้วยระบบภูมิคุ้มกันทีเซลล์ (CD8+T-cell) ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการกลายพันธุ์ครั้งนี้ จึงทำให้วัคซีนเพียง 2 เข็มลดอาการป่วยรุนแรงได้ดี แต่จะมีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อได้ลดลง
4.วัคซีนรุ่นใหม่ (New Generation) ที่จะรองรับไวรัสกลายพันธุ์โอมิครอน จะใช้เวลาพัฒนาประมาณ 4 เดือน คาดว่าจะสามารถใช้ได้ในเดือนมีนาคม 2565 และจะไม่รบกวนแผนของบริษัทซึ่งจะผลิตวัคซีนรุ่นเดิม 4,000 ล้านโดสในปี 2565
ซึ่งการศึกษาดังกล่าว สอดคล้องกับการศึกษาเบื้องต้นของ AHRI : Africa Health Research Institute ซึ่งสรุปว่า
ระดับภูมิคุ้มกันหลังจากฉีดวัคซีนสองเข็มในการรับมือไวรัสโอมิครอนลดลงมาก และจำเป็นต้องฉีดเข็มสามเข็มกระตุ้น
และการศึกษาในเยอรมันพบว่า ระดับภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ลดลง 37 เท่า
ผู้บริหารของบริษัท BioNTech ซึ่งร่วมกับบริษัท Pfizer ในการพัฒนาวัคซีน ได้ให้คำแนะนำว่า
ควรจะลดระยะเวลาระหว่างการฉีดเข็ม 2 กับเข็ม 3 ที่เคยแนะนำให้ห่างกัน 6 เดือน เป็นห่างกัน 3 เดือน เพื่อทำให้สามารถที่จะรับมือกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ต่อไปได้
ขณะนี้ประเทศไทยฉีดวัคซีนสองเข็มใกล้จะครบ 50 ล้านคน หรือ 100 ล้านโดสแล้ว
และมีวัคซีนที่อยู่ในมือ และที่ได้จัดหาไว้เป็นการล่วงหน้า รวมแล้วกว่า 65 ล้านโดส
ก็จะสามารถนำมาฉีดกระตุ้นเข็ม 3ให้กับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบสองเข็มแล้ว ซึ่งจะสามารถรองรับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นได้
และควรเร่งฉีดวัคซีนผู้ที่ยังไม่ได้วัคซีนเลยแม้แต่เข็มเดียว ให้เข้ามารับวัคซีนโดยเร็วต่อไป
ก็จะทำให้ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ที่มีความพร้อม ที่จะรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่มีโอกาสจะแพร่ระบาดทั่วโลกในเวลาอีกไม่นานนักได้
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 (covid-19) ในประเทศไทยนั้น "ฐานเศรษฐกิจ" ติดตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-8 ธ.ค. 64 มีการฉีดวัคซีนสะสมแล้วทั้งหมด 96,341,748 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 49,568,675 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 42,855,870 ราย และเข็มที่ 3 จำนวน 3,917,203 ราย