การระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ และเริ่มพบผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศในประเทศไทยแล้วนั้น ถูกจับตามองว่าสายพันธุ์โอมิครอน จะมีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน และจะส่งผลต่อประเทศไทยอย่างไร
นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์ แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การระบาดหนักของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศอังกฤษหรือในแอฟริกาใต้ เกิดจากการฉีดวัคซีนที่ยังน้อยอยู่ โดยเฉพาะวัคซีนบูสเตอร์โดส ขณะที่ไทยเองหากเป็น 1 คนอีก 9 คน จะไม่พบอาการ เพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน และมีการฉีดวัคซีนในปริมาณที่สูง แต่ก็ประมาทไม่ได้ ดังนั้นการฉีดวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ และต้องฉีดบูสเตอร์โดส (เข็มที่ 3) ด้วย
อย่างไรก็ดี จะเห็นว่าโอมิครอนมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่นในอังกฤษวันนี้พบว่ามีผู้ติดเชื้อกว่า 5 หมื่นคน เพิ่มเป็นเท่าตัว เพราะไวรัสตัวนี้ แพร่ระบาด จาก 2 คนเป็น 4 คน จาก 4 คนเป็น 8 คน เมื่อวานมีคนติดเชื้อที่เป็นโอมิครอน 40% วันนี้เพิ่มเป็น 50% หากไม่ทำอะไรเลย ในปลายเดือนนี้อังกฤษจะมีคนติดเป็นล้านคน
สาเหตุเพราะอังกฤษเป็นเมืองหนาว และโอมิครอนหลบวัคซีนได้เก่ง เพราะหนามที่ออกมาใหม่ วัคซีนกั้นไม่ได้ ไม่ให้เกาะเซลล์ ลดลง 20-40 เท่า ระยะแรกไฟเซอร์กับโมเดอร์นา จะคิดวัคซีนออกมาใหม่ แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไฟเซอร์ออกมาบอกว่า อาจไม่จำเป็น เพราะถ้าคุณฉีดวัคซีนเข็ม 3 แล้ว ภูมิจะขึ้นมา 75% อังกฤษถึงแนะนำว่า ให้ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ภายใน 3 เดือน แทนที่จะรอ 6 เดือน
ทั้งนี้จะเห็นว่า การระบาดของสายพันธุ์อัลฟ่าที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน ตามด้วยสายพันธุ์เดลต้าในราวเดือนสิงหาคม เมื่อมาถึงสายพันธุ์โอมิครอน เว้นระยะห่างทุก 4 เดือน ขณะที่ในยุโรป รวมทั้งนอร์เวย์ เบลเยี่ยม ที่เริ่มระบาดในช่วงเดือนธันวาคม ขณะที่ไทยจะระบาดล้าหลังยุโรปราว 3 เดือน ดังนั้นกว่าไวรัสจะกระจายมาถึงไทย คาดว่าจะอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2565
“การฉีดวัคซีนที่ดีที่สุดคือ 1 เดือนก่อนไวรัสมา เพราะภูมิต้านทานจะสูงสุดในเดือนแรก เมื่อเข้าเดือนที่สองก็จะลดลง”
นพ.บุญ กล่าวอีกว่า ผมพูดมาตลอดเวลาว่าประเทศไทยต้องฉีดวัคซีนให้ได้ 130 ล้านโดสหรือคิดเป็น 85% ของจำนวนประชากร หลังจากนั้นภูมิธรรมชาติจะเกิดขึ้นเอง 10% เมื่อไวรัสเข้าใครไม่ได้ มาก็โดนฆ่าหมด ผมจึงคาดหวังว่า โอมิครอนจะเป็นสายพันธุ์สุดท้ายที่มีการแพร่ระบาด
“การเปิดเมืองจะสร้างความมั่นใจ เพราะจีดีพีไทยด้านการท่องเที่ยว 12% มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่เมื่อต่างชาติยังไม่มา แม้ปีหน้าจะเป้าไว้ 6 ล้านคน ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่มีอยู่ราว 40 ล้านคน แต่ผมว่ามาได้ 3 ล้านคนก็ดีแล้ว เพราะจีนยังปิดประเทศ”
ทั้งนี้ที่ผ่านมาผมพูดเรื่องเงินเฟ้อเมื่อ 6 เดือนก่อน เพราะเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งขณะนั้นขนส่งเริ่มขึ้นราคา และตอนนี้ก็ขึ้นมาแล้ว 300% อีกปัญหาคือ แรงงานกลับบ้าน และไม่กลับมา เพราะโรงงานปิด ซัพพลายเชนหายไป ราคาสินค้าย่อมต้องสูงขึ้น รวมถึงทองแดง เหล็ก ตอนนี้ขึ้นมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์
หากมองย้อนกลับไปในช่วงวิกฤตแฮมเบอเกอร์ ซึ่งในขณะนั้นอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่า 2 ล้านล้านเหรียญ ดอลลาร์ แต่บิทคอยน์-คริปโตฯ ตอนนี้ 3 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์ ก็เป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ถ้าสมมติลดราคา หรือคนเทลงมา รวมทั้งพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมา อเมริกันพิมพ์พันธบัตรจำนวน 9 ล้านล้านดอลลาร์ จากปกติ 4 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้มีเงินที่ไม่จำเป็น 3 ล้านล้านดอลลาร์เข้ามาในระบบจึงเกิดภาวระเงินเฟ้อ
ขณะที่ไทยเองผูกติดกับชาติตะวันตกเยอะเกินไป ซึ่งในขณะนี้กำลังซื้อในประเทศลดลงไปเยอะ มีหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูงสุด ส่วนรัฐบาลไม่มีเงินที่จะลงทุนแล้ว ตัวที่จะสร้างการเติบโตคือ EEC ถ้าลงทุน 4 แสนล้าน GDP จะโตได้ 2% คาดหวังว่าจะลงทุน 4-8 แสนล้านทำให้ GDP โต 2-4% แต่คำถามคือ EEC จะเกิดขึ้นหรือไม่