ฉีดวัคซีนโควิดครบชุด ต้องทำอย่างไร กี่เข็ม เว้นระยะห่างแค่ไหน เช็กเลย

16 ธ.ค. 2564 | 02:43 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ธ.ค. 2564 | 09:44 น.

ฉีดวัคซีนโควิดครบชุด ต้องทำอย่างไร กี่เข็ม เว้นระยะห่างแค่ไหน หมอยงชี้ต้องประกอบด้วยวัคซีนเบื้องต้น และกระตุ้น ระบุหากมีการระบาดมากต้องฉีดให้เร็วขึ้น

รายงานข่าวระบุว่า ศ.นพ.ยง  ภู่วรวรรณ (หมอยง) หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสเฟซบุ๊ก (Yong Poovorawan) โดยมีข้อความว่า 
โควิด-19 วัคซีน หลักการให้วัคซีน
หมอยง ระบุว่า ตามศาสตร์การให้วัคซีน การให้วัคซีนครบ จะต้องประกอบไปด้วยการให้วัคซีนเบื้องต้น (prime) และกระตุ้น (boost) จึงจะเรียกว่าให้วัคซีนครบชุด เช่นการให้วัคซีนตับอักเสบ เอ  บี ให้เบื้องต้น  1 เข็ม ในตับ เอ และ 2 เข็ม ในตับ บี และกระตุ้นอีก 1 เข็ม ในอีก 6 เดือนต่อมา

การให้วัคซีน หัด หัดเยอรมัน คางทูม ไข้สมองอักเสบ หรือในเด็กก็ตาม จะต้องมีเข็มหรือชุดเบื้องต้น prime ตามด้วยกระตุ้น boost ให้ภูมิอยู่นาน
Covid-19 ก็เช่นเดียวกันที่บอกว่าให้วัคซีนครบคือ 2 เข็ม จึงไม่ถูกต้อง การให้ครบจะต้องประกอบด้วย การให้ 2 เข็มเบื้องต้น เป็นตัว  prime และอีก 3-6 เดือนต่อมาการกระตุ้น boost จึงจะเรียกว่าครบชุด 
การให้วัคซีน การกระตุ้น  ถ้าเข็มกระตุ้นเข้าไปใกล้ชิด กับเข็มแรกหรือ 2 เข็มแรก เช่น ฉีด 3 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน ทั้ง 3 เข็ม  เข็มที่ 3 ไม่ถือว่าเป็นเข็มกระตุ้น ยังถือว่าเป็น  prime 
หรือเบื้องต้น ต้องมีการกระตุ้นอีก เข็มกระตุ้นยิ่งห่างจากเข็มเบื้องต้นนานยิ่งดี  โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 6-24 เดือน ในตับ เอ หรือตับ บี แต่บางครั้งอนุโลมห่างลงมา 3 เดือน แต่ผลการกระตุ้นจะสู้ยิ่งนานไม่ได้ โดยเฉพาะ 6 เดือนขึ้นไป
การเว้นห่าง ยิ่งห่าง การกระตุ้นดี กระตุ้นได้ภูมิสูงและอยู่นานกว่า แต่ถ้าห่างเกินไปมีข้อเสีย ถ้ามีการระบาดโรคมาก จะมีการติดโรค แทรกมาก่อนกระตุ้น  ดังนั้นถ้าไม่มีการรบาดของโรคให้รอให้มีระยะห่าง ถ้ามีการระบาดมากก็รีบให้เร็วขึ้น

การให้วัคซีนครบชุด จะต้องประกอบไปด้วยให้ชุดเบื้องต้น  (prime) กระตุ้น  (boost) 
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประทศไทยนั้น "ฐานเศรษฐกิจ" ติดตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.- ธ.ค.64 มีการฉีดวัคซีนแล้วทั้งหมด 98,046,970 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 50,195,106 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 43,643.486 ราย และเข็มที่ 3 จำนวน 4,308,378 ราย