“โรมัน อับราโมวิช” เจ้าของสโมสรฟุตบอลเชลซี ของประเทศอังกฤษ ออกแถลงการณ์ยืนยันตัดสินใจที่จะขายสโมสร หลังจากนั่งเป็นเจ้าของทีมมานาน 14 ปี แต่กลับต้องยุติลงภายหลังเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน จนลามมาส่งผลกระทบต่อวงการกีฬาในที่สุด
โดย แถลงการณ์จากสโมสร ระบุว่า “ผมอยากจะชี้แจงถึงเรื่องข่าวลือตามหน้าสื่อในตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลเชลซี ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้า
“ผมได้ทำการตัดสินใจทุกอย่างโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของสโมสรตลอดมา จากสถานการณ์ปัจจุบัน ผมได้ตัดสินใจที่จะขายสโมสร เพราะผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับทั้งสโมสร แฟนบอล พนักงานทุก ๆ คน และยังรวมไปถึงผู้สนับสนุน ตลอดจนหุ้นส่วนของสโมสร”
ทั้งนี้การขายสโมสรจะยังไม่เกิดขึ้นแบบเร่งด่วน แต่จะเป็นไปตามกระบวนการ โดยจะไม่ขอเงินที่สโมสรได้กู้ยืมคืนมาแต่อย่างใด สำหรับผมแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องของธุรกิจ หรือเงินทอง แต่มันเกี่ยวกับแพสชั่นของผมที่มีต่อเกมการแข่งขันและสโมสรอย่างแท้จริง
นอกจากนี้แล้ว ยังได้สั่งให้ทีมงานจัดตั้งมูลนิธิการกุศลเพื่อบริจาครายได้สุทธิทั้งหมดที่มาจากการขาย มูลนิธิจะเป็นประโยชน์อย่างสำคัญต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อสงครามในยูเครน และยังรวมถึงการจัดหาเงินทุนสำหรับความประสงค์เร่งด่วนเพื่อช่วยสนับสนุนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ตลอดจนการสนับสนุนและฟื้นฟูในระยะยาว
ทั้งนี้ยังระบุว่า โปรดทราบว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากมากจนแทบไม่อยากจะเชื่อ และผมเองรู้สึกเจ็บปวดในการต้องแยกทางกับสโมสรด้วยแนวทางนี้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นผลประโยชน์สูงสุดของสโมสร
“ผมหวังว่าผมจะได้กลับมาเยือนสแตมฟอร์ด บริดจ์อีกสักครั้ง เพื่อที่จะได้กล่าวลาทุก ๆ คนด้วยตัวของผมเอง นี่ถือเป็นเรื่องที่วิเศษมาก ๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตของผม กับการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรฟุตบอลเชลซี และผมภูมิใจในความสำเร็จร่วมกันของทีมเรา สโมสรฟุตบอลเชลซี และแฟนบอลทุก ๆ คนจะอยู่ในใจผมตลอดไป”
อย่างไรก็ตามมีรายงานข่าวว่า การประกาศขายทีมเชลซีในครั้งนี้ ได้มีการตั้งราคาอยู่ที่ 3,000 ล้านปอนด์ ล่าสุดมีรายงานว่า มหาเศรษฐีหลายรายแสดงความต้องการเข้ามาเทคโอเวอร์เชลซี แต่ในการดำเนินการนั้นคงต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
สำหรับเส้นทางการเป็นเจ้าของทีมเชลซี 19 ปี
เกิดขึ้นหลังจากเคนเบตส์ได้ขายสโมสรให้กับ “โรมัน อับราโมวิช” มหาเศรษฐีชาวรัสเซียในราคา 140 ล้านปอนด์ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2003 ( พ.ศ.2564) โดยเข้าซื้อหุ้น 50% ของทุนจดทะเบียน Chelsea Village plc ซึ่งรวมถึงสัดส่วนการถือหุ้น 29.5% ของเคนเบตส์ด้วยเงิน 30 ล้านปอนด์
ในสัปดาห์ต่อมาได้ซื้อผู้ถือหุ้น 12,000 รายที่เหลือส่วนใหญ่ในราคา 35 เพนนีต่อหุ้น การซื้อกิจการคิดเป็นมูลค่ารวม 140 ล้านปอนด์ในช่วงเวลาดังกล่าว สโมสรยังมีหนี้อยู่ราว 100 ล้านปอนด์ ซึ่งรวมถึงหนี้ในระบบยูโรบอนด์จำนวน 75 ล้านปอนด์ที่สะสมมาตั้งแต่ ค.ศ. 1995
โดยทีมบริหารของเบตส์ได้กู้เงินเพื่อซื้อกรรมสิทธิ์สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ และลงทุนสำหรับการพัฒนาทีมรวมถึงสนามกีฬาหนี้ดังกล่าวรวมถึงดอกเบี้ย 9% ของเงินกู้ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ประมาณ 7 ล้านปอนด์ต่อปี
จากข้อมูลของ บรูซ บัค ประธานสโมสร ระบุว่าเชลซีกำลังประสบปัญหาในการผ่อนชำระเงินในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2005 โดยอับราโมวิชได้ชำระหนี้บางส่วนในทันทีแต่ยอดค้างชำระ 36 ล้านปอนด์ยังไม่ได้รับการชำระคืนเต็มจำนวนจนกระทั่ง ค.ศ. 2008 และตั้งแต่นั้นมาสโมสรก็ไม่มีหนี้นอกระบบอีกเลย
อย่างไรก็ตามสโมสรเชลซีทำกำไรไม่ได้เลยในช่วงเก้าปีแรกของอับราโมวิช และขาดทุนเป็นประวัติการณ์ถึง 140 ล้านปอนด์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2005 ต่อมา ในเดือนพฤศจิกายน 2012 เชลซีประกาศผลกำไร 1.4 ล้านปอนด์ นับเป็นครั้งแรกที่สโมสรทำกำไรภายใต้การบริหารของอับราโมวิช
ตามมาด้วยการขาดทุนใน ค.ศ. 2013 ก่อนจะกำไร 18.4 ล้านปอนด์ในเดือนมิถุนายน 2014 และ ใน ค.ศ. 2018 เชลซีประกาศผลกำไรหลังหักภาษีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ 62 ล้านปอนด์
ปัจจุบันเชลซีเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าทีมสูงที่สุดในโลก และแบรนด์ของสโมสรถือว่ามีชื่อเสียงในแง่การตลาดลำดับต้น ๆ ในบรรดาทีมกีฬาทุกประเภท พร้อมกันนี้ทีมยังได้ทุ่มซื้อผู้เล่นชื่อดังมากมาย โดยถือเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของสโมสรในการยกระดับเป็นทีมระดับโลกจนถึงปัจจุบัน
สำหรับผลสำเร็จตลอดระยะเวลาที่ “โรมัน อับราโมวิช” เป็นเจ้าของทีมเชลซี พบว่า สโมสรสามารถครองแชมป์รายการต่าง ๆ ดังนี้
ที่มา : วิกิพีเดีย