ฮอนด้ายกระดับฐานผลิตไทย เปิดโรงงานแห่งใหม่ปราจีนบุรี

15 พ.ค. 2559 | 11:00 น.
ฮอนด้าได้ฤกษ์เปิดโรงงานปราจีนบุรีอย่างเป็นทางการ หลังเทงบกว่า 1.7หมื่นล้านบาท ชูเทคโนโลยีการผลิตทันสมัย ARC Line ครั้งแรกของโลกที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตขึ้น 10% พร้อมเตรียมขึ้นไลน์ประกอบซับ-คอมแพ็กต์อีกหนึ่งรุ่นในอนาคต หวังป้อนทั้งตลาดในและต่างประเทศ

นาย กาคุ นาคานิชิ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โรงงานฮอนด้าปราจีนบุรี ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1.6 ไร่ ณ สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.ปราจีนบุรี โดยใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 17,150 ล้านบาท มีกำลังการผลิตรวมทั้งหมด 1.2 แสนคันต่อปี แต่ในเริ่มแรกผลิต 6 หมื่นคันต่อปี และมีพนักงานในระยะแรกจำนวน 1.4 พันคน

โดยโรงงานดังกล่าวได้เริ่มเดินสายการผลิตรถรุ่นแรกคือ ฮอนด้า ซีวิค ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเริ่มเดินสายการผลิตในสายงานการฉีดขึ้นรูปพลาสติกเมื่อเดือนตุลาคม 2558 ตามด้วยสายงานการผลิตเครื่องยนต์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 และในอนาคตเตรียมจะผลิตรถในเซ็กเมนต์ซับ-คอมแพ็กต์ โดยจะเป็นการผลิตเพื่อป้อนทั้งตลาดในประเทศ และส่งออกไปยังประเทศต่างๆใน ภูมิภาคอาเซียน , โอเชียเนีย ,ตะวันออกกลาง ,แอฟริกา ,ประเทศในแถบทะเลแคริบเบียน และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

[caption id="attachment_52814" align="aligncenter" width="500"] ส่วนของสายงานการประกอบรถยนต์ (Assembly Line) ส่วนของสายงานการประกอบรถยนต์ (Assembly Line)[/caption]

นายนาคานิชิ กล่าวเพิ่มเติมว่า จุดเด่นของโรงงานแห่งใหม่ ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย อาทิ ส่วนของสายงานการประกอบรถยนต์ (Assembly Line)มีการนำเทคโนโลยี ARC Line (Assembly Revolution Cell) มาปรับใช้เป็นครั้งแรกของโลก โดยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตขึ้น 10% เมื่อเทียบกับสายการผลิตแบบเดิม ,ในส่วนของสายงานการขึ้นรูปชิ้นส่วน (Stamping Line) มีการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขึ้นรูปชิ้นส่วน 25% เมื่อเทียบกับสายการผลิตแบบเดิม เพราะมีเทคโนโลยีการเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนด้วยความเร็วสูง ด้านสายงานการเชื่อมประกอบโครงสร้างตัวถังรถยนต์ (Welding Line) มีการใช้เครื่องจักรประกอบตัวถังหลัก ซึ่งเป็นหุ่นยนต์จับชิ้นงาน (Welding Jig) ขนาดเล็กช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมประกอบขึ้น 40%

สายงานการเชื่อมประกอบโครงสร้างตัวถังรถยนต์ (Welding Line)มีระบบสายพานลำเลียงชิ้นส่วนที่ขับเคลื่อนด้วยพลังน้ำ (Water Conveyor) มาใช้ในการลำเลียงชิ้นส่วนตัวถัง ,การจัดการภายในโรงงาน (Facility Management) มีหลังคาโปร่งแสง (Skylight Roof) ช่วยให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในอาคารได้ และลดการใช้พลังงานไฟฟ้าส่องสว่าง ตรงจุดนี้ถือเป็นเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อคนทำงาน และมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

สายงานการพ่นสี (Painting Line)มีการใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย (Water Borne Paint) ในขั้นตอนการพ่นสี ทำให้ช่วยลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม และโรงงานแห่งนี้ใช้กระบวนการพ่นสี 3 ชั้น อบสีให้แห้ง 2 ครั้ง (3-coat /2-bake) โดยยกเลิกขั้นตอนการเคลือบสีชั้นกลาง จากเดิมที่ใช้กระบวนการเคลือบสี 4 ชั้น/ อบสีให้แห้ง 3 ครั้ง (4-coat /3-bake) จึงช่วยลดปริมาณสารระเหยในชั้นบรรยากาศ

ส่วนสายงานการขึ้นรูปชิ้นส่วน(StampingLine):มีการออกแบบสายการผลิตที่เหมาะสมกับการทำงานของพนักงานตามหลักการยศาสตร์โดยติดตั้งเครื่อง Auto Piling มาใช้แทนกำลังคนในการยกชิ้นส่วนที่มีน้ำหนักมาก

ด้านนาย ทาคาฮิโระ ฮาจิโกะ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ และผู้แทนกรรมการ บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า โรงงานฮอนด้าปราจีนบุรีประกอบไปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ที่มีส่วนส่งเสริมให้ฐานการผลิตฮอนด้าของไทยมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคต ทั้งการผลิตเพื่อป้อนผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนให้กับตลาดในประเทศ และทั่วโลก รวมถึงกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนับเป็นภูมิภาคที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันการเติบโตของยอดขายของฮอนด้าทั่วโลก

ขณะที่นายโนริอากิ อาเบะ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการประจำภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด และประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยของโรงงานฮอนด้าปราจีนบุรี จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนของฮอนด้า และในอนาคตมีแผนที่จะผลิตรถยนต์ในกลุ่มคอมแพ็กต์ และซับคอมแพ็กต์ ที่โรงงานฮอนด้าปราจีนบุรีแห่งนี้ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สำหรับตลาดในประเทศไทย และตลาดส่งออก ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศไทย

ด้านดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ฮอนด้าส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตและส่งออกที่สำคัญ ด้วยการนำเทคโนโลยีอันทันสมัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาประยุกต์ใช้ ถือเป็นการตอกย้ำจุดยืนของประเทศในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลกได้เป็นอย่างดี เพราะปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ นับเป็นอุตสาหกรรมหลักที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,157 วันที่ 15 - 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559