ราคาน้ำมันพุ่งดันต้นทุนการผลิตเพิ่ม 20% วอนรัฐลดภาษีดีเซลต่อ 3 เดือน

06 ก.ค. 2565 | 03:38 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ก.ค. 2565 | 13:24 น.

ราคาน้ำมันพุ่งดันต้นทุนการผลิตเพิ่ม 20% วอนรัฐลดภาษีสรรพสามิตดีเซลต่อ 3 เดือน เผยผู้ประกอบการต้องยอมหั่นกำไร 10% เพื่อรักษายอดขาย

นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 18 ในเดือนมิถุนายน 2565 ภายใต้หัวข้อ “ภาคอุตสาหกรรมจะรับมือกับวิกฤตพลังงานแพงอย่างไร” โดยระบุว่า จากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย – ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 20% 

 

สวนทางกับการปรับราคาขายสินค้าและบริการในช่วงที่ผ่านมา ที่มีการปรับเพิ่มขึ้นได้น้อยกว่า 10% เนื่องจากต้องการรักษายอดขาย ขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด รวมทั้ง การปฏิบัติตามมาตรการควบคุมราคาสินค้าของรัฐ 

 

ทั้งนี้ผู้บริหาร ส.อ.ท. คาดว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 จะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับ 120 - 140 ดอลลาร์ต่อบาเรล จากภาวะสงครามที่ยืดเยื้อประกอบกับมาตรการตอบโต้ระหว่างชาติตะวันตกและรัสเซียที่มีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะการที่สหภาพยุโรป (EU) มีมติระงับการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย 90% ภายในสิ้นปีนี้ 
 

ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอขอให้ภาครัฐพิจารณาขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร ที่กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 ออกไปอีก 2 - 3 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและช่วยลดภาระต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ 

 

ส่วนมาตรการแก้ไขปัญหาวิกฤตพลังงานในระยะยาว ภาครัฐควรมีการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคธุรกิจและภาคประชาชน สนับสนุนให้เกิดการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานในภาคการผลิต ควบคู่ไปกับการทบทวนโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย 

 

นอกจากนี้ยังได้แนะนำให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมเร่งปรับตัวรับมือกับวิกฤตพลังงานด้วยการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้เองภายในโรงงาน ปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งนำระบบการบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System: EMS) มาใช้และปรับแผนการผลิต/โลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนพลังงานในช่วงนี้   
 

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 165 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 18 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้

 

1.ภาวะราคาพลังงานแพงในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตอย่างไร

 

  •  ต้นทุนเพิ่มขึ้น 20% 38.8%
  •  ต้นทุนเพิ่มขึ้น 10% 30.3%
  •  ต้นทุนเพิ่มขึ้น 30% 23.0%
  •  ต้นทุนเพิ่มขึ้น 40% 7.9% 

 

ราคาน้ำมันพุ่งดันต้นทุนการผลิตเพิ่ม 20%

 

2.ผลกระทบของต้นทุนราคาพลังงานและวัตถุดิบแพง ทำให้อุตสาหกรรมท่านต้องปรับราคาขายสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นแล้วเท่าใด เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงต้นปี 2565 
   

  • ปรับราคาเพิ่มขึ้น น้อยกว่า 10%  44.9%
  • ปรับราคาเพิ่มขึ้น 10 - 20%  38.8%
  • ปรับราคาเพิ่มขึ้น 20 – 30%  12.7%
  • ปรับราคาเพิ่มขึ้น มากกว่า 30%  3.6%

 

 

3.แนวทางการดำเนินงานในเรื่องใดที่ท่านคิดว่าจะช่วยลดผลกระทบจากราคาพลังงานแพงในช่วงนี้
 

 

  • ขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร  62.4%
  • ขอความร่วมมือโรงกลั่นฯ ลดกำไรจากค่าการกลั่น และนำมาช่วยลดราคาน้ำมันสำเร็จรูป  60.6%
  • รณรงค์และดำเนินโครงการให้ทุกภาคส่วนประหยัดและลดการใช้พลังงาน  60.0%
  • เจรจานำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย  55.2%

 

4.ภาครัฐควรดำเนินการเพื่อป้องกันปัญหาวิกฤตพลังงานในระยะยาวอย่างไร
   

 

  • ส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคธุรกิจและภาคประชาชน 76.4% 
  • สนับสนุนการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประหยัดพลังงาน 73.9%
  • ทบทวนโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย  61.8%
  • ผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภาคขนส่งเต็มรูปแบบ  58.8%

 

5.  ภาคอุตสาหกรรมควรมีการปรับตัวรับมือกับราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร
   

  • การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้ภายในโรงงาน 69.7%
  • ปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน  67.9%
  • นำระบบการบริหารจัดการพลังงาน (EMS) มาใช้ และปรับแผนการผลิต/โลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนพลังงาน  60%
  • ส่งเสริมการใช้การขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) เช่น ระบบราง, เรือ และทางรถ 50.9%

 

6.  คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 
   

  • 120 - 140 ดอลลาร์ต่อบาเรล   44.3%
  • 100 – 120 ดอลลาร์ต่อบาเรล  33.3%
  • มากกว่า 140 ดอลลาร์ต่อบาเรล 18.8%
  • ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาเรล  3.6%