ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์ และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรม และเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัว (Anan Jongkaewwattana)โดยมีข้อความระบุว่า
ทีมวิจัยในออสเตรเลียได้เปรียบเทียบคุณสมบัติของไวรัส BA.5 เทียบกับ BA.1 และ BA.2 ในห้องปฏิบัติการ
และ พบว่าไวรัส BA.5 มีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างออกไปจากเดิมโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกการเข้าสู่เซลล์เจ้าบ้านซึ่งก่อนหน้านี้หลายทีมวิจัยพบว่า
โอมิครอน โดยเฉพาะ BA.1 อาจจะติดเซลล์ปอดได้น้อยกว่าเดลต้าเพราะโอมิครอนใช้วิธีเข้าเซลล์ไม่เหมือนเดลตา
ซึ่งเซลล์ปอดจะเข้ายากกว่าเดิมด้วยกลไกที่ BA.1ใช้... เป็นการเปลี่ยนแปลงของไวรัสที่ช่วยให้ความรุนแรงของไวรัสลดลงได้ในระดับนึง
ผลการศึกษาของทีมออสเตรเลียพบว่า BA.5 อาจจะปรับตัวเองให้กลับมาใช้กลไกเดิมเหมือนเดลตา
หรือใช้กลไกใหม่ที่ผสมๆกันระหว่างเดลตากับโอมิครอน ที่ส่งผลให้เข้าเซลล์อย่างเซลล์ปอดได้ง่ายขึ้น
เป็นข้อมูลที่บอกว่า BA.1 เปลี่ยนได้ BA.5 ก็เปลี่ยนกลับได้
ไม่มีอะไรที่คาดการณ์ได้กับไวรัสที่มีโอกาสติดโฮสต์ได้มหาศาลขนาดนี้
กลไกใดๆที่ช่วยให้ไวรัสอยู่รอด เพิ่มจำนวนได้ดีที่สุด ไวรัสจะปรับตัวเองไปทางนั้น
ความรุนแรงเป็นของแถมจะมากขึ้นหรือน้อยลงตอบอะไรไม่ได้
อีกข้อมูลที่น่าสนใจคือ ทีมวิจัยเทียบปริมาณไวรัสที่ติดเชื้อได้ต่อค่า RT-PCR
ที่นิยมวัดกันเป็น Ct (จำนวนรอบของปฏิกิริยาที่จำเป็นต้องใช้ในการให้ผลบวก)
ตัวเลขง่ายๆสำหรับ BA.2 (จุดสีเขียว) ค่า Ct ที่ 20 อาจจะมีไวรัสที่ติดเชื้อไปต่อได้ 100
อนุภาค(ที่เหลือ RNA อาจจะมาจากซากเชื้อ) แต่ BA.5 (จุดสีม่วง) ค่า Ct ที่ 20 เหมือนกัน
อนุภาคไวรัสที่ยังคงความสามารถในการติดเชื้อได้มีสูงถึง 10,000 อนุภาค
หรือมากกว่าเดิม 100 เท่า ซึ่งเป็นลักษณะใกล้เคียงกับไวรัสตัวก่อนเกิดโอมิครอน
ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคุณลักษณะของไวรัสที่ปรับตัวย้อนกลับไปเหมือนสายพันธุ์เก่ากว่าโอมิครอน
ตั้งแต่โควิดอุบัติมาทำให้ผมเชื่อว่าการทำนายหรือคาดการณ์ไวรัสในอนาคตว่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้คงจะเป็นการใช้องค์ความรู้เดิมจากไวรัสตัวอื่นมาใช้
เมื่อองค์ความรู้ใหม่เกิดขึ้นทุกวันและขัดจากความเชื่อเดิมๆว่าไวรัสจะปรับเปลี่ยนไปแบบเดิมที่เชื่อกัน
ถ้าเราปรับทันจะช่วยให้ตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงได้ทัน
แต่ถ้ายังยึดติดกับอะไรเดิมๆบางครั้งอาจจะไม่มีประโยชน์ที่จะยอมรับอะไรภายหลัง