รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล (หมอนิธิพัฒน์) หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (นิธิพัฒน์ เจียรกุล) โดยมีข้อความระบุว่า
ท่าทางการศึก BA.4/BA.5 จะยืดเยื้อ การ์ดยังคงต้องสูงไว้ห้ามตกและห้ามหายใจแรง
เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อสัปดาห์ก่อนพุ่งไป 2.3 แสน++
และผู้ป่วยอาการรุนแรงที่ใกล้ 1,000 เข้าไปแล้ว
ผ่านศึกโควิดกันมาแล้วก็หลายระลอก ทั้งหมอเด็กและหมอผู้ใหญ่หลายคน คงได้พบผู้ป่วยหลายรายที่ไม่เคยรู้ตัวว่าเป็นเบาหวานมาก่อน
แต่โรคร้ายและโรคเรื้อรังนี้ก็มาโผล่เอาในช่วงที่ป่วยด้วยโรคโควิด-19
และบางรายก็ส่งผลให้โควิดเกิดความรุนแรงและมีภาวะแทรกซ้อนหลายอย่างจนถึงขั้นคุกคามชีวิต
คำถามคือว่า แล้วโควิดมันไปเกี่ยวอะไรไหมกับการกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวานในคนที่อาจจะมีความเสี่ยงหรือไม่มีอยู่เดิมก็แล้วแต่ โดยเฉพาะโรคเบาหวานในช่วงเด็กและวัยรุ่น
ทีมนักวิจัยจากอเมริกาและเยอรมัน ได้ทำการศึกษาในคนอายุ 1-18 ปี จำนวนกว่าห้าหมื่นคน
โดยทำการตรวจเลือดหาร่องรอยของภูมิคุ้มกันที่เป็นผลจากการเกิดโรคโควิด-19 (antibodies to both SARS-CoV-2 receptor binding domain and nucleocapsid proteins)
และภูมิคุ้มกันต่อการทำลายเซลล์ตับอ่อนของตัวเอง (autoantibodies to insulin, glutamic acid decarboxylase, islet antigen 2, and zinc transporter ที่เป็นบ่อเกิดของโรคเบาหวานช่องทางหนึ่งในอนาคต
โชคดีว่าไม่พบความสัมพันธ์กัน นั่นหมายความว่า การเกิดโรคโควิด-19 ในเด็กและวัยรุ่น ไม่ได้มีส่วนกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวานในอนาคต
แต่ผู้วิจัยก็ได้ออกตัวไว้ก่อนว่า จำนวนผู้เข้ารับการศึกษาอาจจะยังไม่มากพอ และการตรวจเลือดเป็นการตรวจภาคตัดขวางเพียงครั้งเดียว
ดังนั้นในรายที่ตรวจพบภูมิคุ้มกันทั้งสองอย่างพร้อมกันตามที่ว่ามา
ก็ไม่รู้ว่าเกิดโรคโควิด-19 มาก่อนหรือหลังการสร้างภูมิคุ้มกันทำลายตับอ่อนตัวเองกันแน่