thansettakij
สทนช.กาง 9 มาตรการรับมือฤดูฝน 68 ชี้เอลนีโญ-ลานีญาสภาวะเป็นกลาง

สทนช.กาง 9 มาตรการรับมือฤดูฝน 68 ชี้เอลนีโญ-ลานีญาสภาวะเป็นกลาง

17 มี.ค. 2568 | 09:29 น.
อัปเดตล่าสุด :17 มี.ค. 2568 | 09:29 น.

สทนช.เปิด 9 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 68 ชี้เอลนีโญ ลานีญาล่าสุดมีสภาวะเป็นกลาง เตรียมจัดงานวันน้ำโลก สร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นทุกภาคส่วนให้เห็นความสำคัญ

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยการประชุมคณะทำงานวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์น้ำ และขับเคลื่อนแผนบูรณาการการแจ้งเตือนอุทกภัยทั้งระบบ ครั้งที่ 3/2568 ว่า สถานการณ์เอลนีโญ/ลานีญาปี 68 ปัจจุบันอยู่ในสภาวะเป็นกลาง โดยฤดูฝนปีนี้จะมาเร็วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และแนวโน้มจะมีปริมาณมา ซึ่งมาตรการรับมือฤดูฝนปี 68 ประกอบด้วย

  • คาดการณ์ชี้เป้าและแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วง ก่อนฤดูฝนและตลอดช่วงฤดูฝน
  • ทบทวน ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ อาคารควบคุมบังคับน้ำอย่างบูรณาการในระบบลุ่มน้ำ และกลุ่มลุ่มน้ำ ก่อนฤดูฝนและตลอดช่วงฤดูฝน
  • เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ อาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ โทรมาตร บุคลากรประจำพื้นที่เสี่ยงให้สามารถรองรับสถานการณ์ในช่วงน้ำหลาก และฝนทิ้งช่วงก่อนฤดูฝนและตลอดช่วงฤดูฝน
  • ตรวจสอบพร้อมติดตามความมั่นคงปลอดภัยคันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำก่อนฤดูฝนและตลอดช่วงฤดูฝน
  • เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของทางน้ำอย่างเป็นระบบ ก่อนฤดูฝนและตลอดช่วงฤดูฝน

สทนช.กาง 9 มาตรการรับมือฤดูฝน 68 ชี้ เอลนีโญ-ลานีญาสภาวะเป็นกลาง สทนช.กาง 9 มาตรการรับมือฤดูฝน 68 ชี้ เอลนีโญ-ลานีญาสภาวะเป็นกลาง

  • ซักซ้อมแผนเผชิญเฟตุตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัย และฟื้นฟูสภาพให้กลับสู่สภาพปกติตลอดช่วงฤดูฝน
  • เร่งพัฒนาและเก็บกักน้ำในแหล่งน้ำทมุกประเภทช่วงปลายฤดูฝนตลอดช่วงฤดูฝน
  • สร้างการรับรู้ความเสี่ยงและสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายในการติดตามเฝ้าระวังรับมือภัยด้านน้ำ
  • ติดตามประเมินผลปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัยตลอกช่วงฤดูฝน

ทั้งนี้ สทนช. ได้คาดการณ์ปริมาณน้ำของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ในเกณฑ์น้ำมาก มีจำนวน 21 แห่ง จากทั้งหมด 35 แห่ง แบ่งเป็นพื้นที่ภาคเหนือ 6 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 แห่ง ภาคกลาง 1 แห่ง ภาคตะวันออก 5 แห่ง ภาคตะวันตก 1 แห่ง และภาคใต้ 1 แห่ง 

ซึ่งคณะทำงานฯ จะต้องร่วมกันวิเคราะห์การปรับแผนการระบายน้ำเป็นรายอ่างทั้ง 21 แห่งอย่างละเอียด เนื่องจากมีแนวโน้มปริมาณน้ำเต็มความจุของอ่างฯ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการบริหารจัดการปริมาณน้ำรองรับสถานการณ์ฝนล่วงหน้า ที่จะต้องเร่งพิจารณาปรับแผนเพื่อระบายน้ำล่วงหน้าก่อนจะถึงเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อเตรียมพื้นที่รับน้ำในช่วงฤดูฝน อีกทั้งประชาชนและเกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากปริมาณน้ำที่ได้ระบายในช่วงฤดูแล้ง

ดร.สุรสีห์ กล่าวอีกว่า องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้วันที่ 22 มีนาคมของทุกปีเป็นวันน้ำโลก (World Water Day) เพื่อกระตุ้นให้ทั่วโลกร่วมกันอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมา สทนช. เป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมวันน้ำโลกในนามรัฐบาลไทยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นเตือนทุกภาคส่วนถึงความสำคัญของน้ำและปัญหาด้านน้ำในปัจจุบัน รวมถึงเป็นการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ประชาชนเกิดความสนใจในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ

สำหรับงานวันน้ำโลกในปี 68 จะจัดวันที่ 21 มี.ค. 68 โดยจะมีการประกาศนโยบายและเจตนารมณ์ในการรณรงค์ให้เกิดการอนุรักษ์แหล่งน้ำ ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า และร่วมปรับตัวต่อสถานการณ์น้ำของโลก 

ซึ่งงานดังกล่าวจัดในประเด็นที่ UN กำหนด คือ Glacier Preservation หรือ การอนุรักษ์ธารน้ำแข็ง ภายใต้แนวคิด น้ำคือชีวิต การอนุรักษ์น้ำและธารน้ำแข็งเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นวาระระดับโลก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อแหล่งน้ำทั่วโลก 

โดยเฉพาะธารน้ำแข็งซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดของโลกประมาณ 18,600 จุด ในพื้นที่มรดกโลก 50 แห่ง คิดเป็นพื้นที่กว่า 66,000 ตารางกิโลเมตร ที่กำลังละลายอย่างรวดเร็ว และคาดว่ากว่า 1 ใน 3 ของจำนวนธารน้ำแข็งทั้งหมด จะหายไปในอีกไม่ถึง 30 ปีข้างหน้า ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำสายสำคัญ ระดับน้ำทะเล ระบบนิเวศชายฝั่ง การเกิดอุทกภัย และการสูญเสียแหล่งน้ำจืดสำหรับการอุปโภคบริโภค เกษตรกรรม ความมั่นคงทางอาหาร ไปจนถึงอุตสาหกรรมทั่วโลก

นอกจากนี้ ยังมีการจัดเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ Climate Change Adaptation หรือการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนมุมมองจากตัวแทนชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ครอบคลุม 6 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย 1. ผลกระทบจากน้ำป่าและดินโคลนถล่ม 2. ปัญหาภัยแล้งและน้ำทะเลหนุนสูง 3. ภัยพิบัติน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลาก 4. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
5. แนวทางการเตรียมการรับมือของประเทศไทย และ 6. การรณรงค์ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม