ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยการประชุมคณะทำงานวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์น้ำ และขับเคลื่อนแผนบูรณาการการแจ้งเตือนอุทกภัยทั้งระบบ ครั้งที่ 3/2568 ว่า สถานการณ์เอลนีโญ/ลานีญาปี 68 ปัจจุบันอยู่ในสภาวะเป็นกลาง โดยฤดูฝนปีนี้จะมาเร็วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และแนวโน้มจะมีปริมาณมา ซึ่งมาตรการรับมือฤดูฝนปี 68 ประกอบด้วย
สทนช.กาง 9 มาตรการรับมือฤดูฝน 68 ชี้ เอลนีโญ-ลานีญาสภาวะเป็นกลาง
ทั้งนี้ สทนช. ได้คาดการณ์ปริมาณน้ำของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ในเกณฑ์น้ำมาก มีจำนวน 21 แห่ง จากทั้งหมด 35 แห่ง แบ่งเป็นพื้นที่ภาคเหนือ 6 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 แห่ง ภาคกลาง 1 แห่ง ภาคตะวันออก 5 แห่ง ภาคตะวันตก 1 แห่ง และภาคใต้ 1 แห่ง
ซึ่งคณะทำงานฯ จะต้องร่วมกันวิเคราะห์การปรับแผนการระบายน้ำเป็นรายอ่างทั้ง 21 แห่งอย่างละเอียด เนื่องจากมีแนวโน้มปริมาณน้ำเต็มความจุของอ่างฯ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการบริหารจัดการปริมาณน้ำรองรับสถานการณ์ฝนล่วงหน้า ที่จะต้องเร่งพิจารณาปรับแผนเพื่อระบายน้ำล่วงหน้าก่อนจะถึงเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อเตรียมพื้นที่รับน้ำในช่วงฤดูฝน อีกทั้งประชาชนและเกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากปริมาณน้ำที่ได้ระบายในช่วงฤดูแล้ง
ดร.สุรสีห์ กล่าวอีกว่า องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้วันที่ 22 มีนาคมของทุกปีเป็นวันน้ำโลก (World Water Day) เพื่อกระตุ้นให้ทั่วโลกร่วมกันอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมา สทนช. เป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมวันน้ำโลกในนามรัฐบาลไทยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นเตือนทุกภาคส่วนถึงความสำคัญของน้ำและปัญหาด้านน้ำในปัจจุบัน รวมถึงเป็นการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ประชาชนเกิดความสนใจในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ
สำหรับงานวันน้ำโลกในปี 68 จะจัดวันที่ 21 มี.ค. 68 โดยจะมีการประกาศนโยบายและเจตนารมณ์ในการรณรงค์ให้เกิดการอนุรักษ์แหล่งน้ำ ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า และร่วมปรับตัวต่อสถานการณ์น้ำของโลก
ซึ่งงานดังกล่าวจัดในประเด็นที่ UN กำหนด คือ Glacier Preservation หรือ การอนุรักษ์ธารน้ำแข็ง ภายใต้แนวคิด น้ำคือชีวิต การอนุรักษ์น้ำและธารน้ำแข็งเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นวาระระดับโลก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อแหล่งน้ำทั่วโลก
โดยเฉพาะธารน้ำแข็งซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดของโลกประมาณ 18,600 จุด ในพื้นที่มรดกโลก 50 แห่ง คิดเป็นพื้นที่กว่า 66,000 ตารางกิโลเมตร ที่กำลังละลายอย่างรวดเร็ว และคาดว่ากว่า 1 ใน 3 ของจำนวนธารน้ำแข็งทั้งหมด จะหายไปในอีกไม่ถึง 30 ปีข้างหน้า ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำสายสำคัญ ระดับน้ำทะเล ระบบนิเวศชายฝั่ง การเกิดอุทกภัย และการสูญเสียแหล่งน้ำจืดสำหรับการอุปโภคบริโภค เกษตรกรรม ความมั่นคงทางอาหาร ไปจนถึงอุตสาหกรรมทั่วโลก
นอกจากนี้ ยังมีการจัดเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ Climate Change Adaptation หรือการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนมุมมองจากตัวแทนชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ครอบคลุม 6 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย 1. ผลกระทบจากน้ำป่าและดินโคลนถล่ม 2. ปัญหาภัยแล้งและน้ำทะเลหนุนสูง 3. ภัยพิบัติน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลาก 4. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
5. แนวทางการเตรียมการรับมือของประเทศไทย และ 6. การรณรงค์ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม