เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ห้องพิจารณา 704 ศาลนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีสำคัญ 2 คดี ได้แก่ คดีฉ้อโกงของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด หมายเลขดำ อทย.14/2568 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวกรวม 17 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงหลอกลวงลงทุน
และอีกคดีสำคัญคือ คดีฟอกเงินของ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด คดีหมายเลขดำ ฟ.6/2568 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย และนางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ มารดานายสามารถ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ประธานบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด และบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปจำกัด เป็นจำเลยรวม 4 รายในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน
โดยนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานดังกล่าวนั้น ได้เบิกตัวจำเลยทุกคนในสองคดีนี้ที่ถูกฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในกรณีที่เป็นจำเลยชายและทัณฑสถานหญิงกลางในกรณีที่เป็นจำเลยหญิง มาร่วมฟังการพิจารณา ซึ่งรวมถึงนายวรัตน์พลและนายสามารถด้วย โดยรถของเรือนจำได้นำจำเลย มาส่งที่ศาลอาญาในช่วงเวลาประมาณ 08.30 น.
นางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ มารดานายสามารถ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ประธานบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด
ด้านนางวิลาวัลย์ เดินทางมาถึงศาลในเวลาประมาณ 08.45 น. โดยได้กล่าวกับสื่อมวลชนก่อนขึ้นฟังตรวจพยานในชั้นศาลว่า วันนี้ตนมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในการนำพยานหลักฐานมายืนยันในชั้นศาลว่า ตนและลูกชายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดฐานฟอกเงินแต่อย่างใด ต้องการอยากจะเป็นกระบอกเสียงพูดแทนลูกชายเพื่อขอให้บังเกิดความยุติธรรม ที่ผ่านมาตนได้ไปเยี่ยมลูกชายที่เรือนจำโดยตลอด ซึ่งสภาพความเป็นอยู่ของลูกชายไม่ค่อยดีนัก มีเจ็บป่วยบ้าง แต่สามารถปรับตัวให้อยู่ในเรือนจำได้ ส่วนเรื่องการยื่นประกันตัวลูกชายนั้น เตรียมที่จะยื่นในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน
แม่ของนายสามารถเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในคดีฟอกเงินนั้น นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล จำเลยในคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จะรับทำคดีฟอกเงินนี้ควบคู่กันไปด้วย
บรรยากาศที่ห้องพิจารณาคดี 704 เต็มไปด้วยบรรดาแม่ทีมและผู้ให้การสนับสนุน ดิไอคอนกรุ๊ป ที่มาให้กำลังใจจำนวนกว่า 200 คน แต่ไม่พบว่ามีตัวแทนของผู้เสียหายเข้าร่วมการพิจารณาคดีในครั้งนี้ นอกจากพนักงานอัยการฝ่ายโจทก์
เมื่อจำเลยทั้ง 17 คนถูกนำตัวเข้าห้อง บรรดาผู้สนับสนุนได้ลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้ทักทายจำเลยทั้งน้ำตา บางคนพยายามเข้ามาจับมือจำเลย ทำให้จำเลยหญิงทั้ง 6 คนร่ำไห้ ส่วนจำเลยชายส่วนใหญ่รวมทั้งนายกันต์ มีสีหน้าเรียบเฉยค่อนข้างเครียด ขณะที่นายวรัตน์พลยิ้มแย้มและทักทายแฟนคลับ โดยนายวรัตน์พลและนายสามารถเดินมาด้วยโซ่ตรวนเดียวกัน
ระหว่างการพิจารณาคดีฉ้อโกงของดิไอคอนกรุ๊ป เกิดการถกเถียงระหว่างอัยการและทนายจำเลย เนื่องจากอัยการฝ่ายโจทก์แถลงว่ามีพยานบุคคล 7,991 ปาก แต่เสนอสืบพยานเบื้องต้น 109 ปาก ประมาณ 27 นัด ให้ฝ่ายจำเลยอ่านคำให้การพยานที่เหลือก่อน ขณะที่ทนายจำเลยไม่เห็นด้วย ต้องการสืบพยานทั้งหมดให้แล้วเสร็จในคราวเดียว แม้จะใช้เวลานาน เพื่อทำบัญชีพยานให้ชัดเจนและไม่กระทบสิทธิการประกันตัวจำเลย
ส่วนคดีฟอกเงินที่มีนายสามารถและแม่เป็นจำเลย อัยการยื่นบัญชีพยานประกอบด้วยเอกสาร 41 ฉบับ และพยานบุคคล 24 ปาก ขอสืบพยาน 6 นัด ศาลอนุญาตให้นัดสืบพยานโจทก์ระหว่างวันที่ 18-20 ก.พ. 2569 และ 10-12 มี.ค. 2569
ฝ่ายจำเลยเสนอพยาน 11 ปาก รวมถึงจำเลยทั้ง 3 ราย บอสปีเตอร์ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด นายวิฑูรย์ เก่งงาน และตัวแทนวัดที่ได้รับเงินบริจาคจากแม่นายสามารถ ขอสืบพยาน 3 นัด ศาลอนุญาตให้นัดสืบพยานจำเลยระหว่างวันที่ 31 มี.ค. 2569 และ 2-3 เม.ย. 2569
เวลา 15.30 น. หลังตรวจหลักฐานคดีฉ้อโกงของดิไอคอนกรุ๊ปเสร็จสิ้น ใช้เวลา 6 ชั่วโมง ศาลนัดสืบพยาน 50 นัด แบ่งเป็นฝ่ายโจทก์ 30 นัด และฝ่ายจำเลย 20 นัด โดยยังไม่ระบุวันนัดชัดเจน ทั้งสองฝ่ายต้องหารือกันอีกครั้ง จะสืบพยานฝ่ายจำเลย 62 ปาก และฝ่ายโจทก์ 7,991 ปาก โดยจัดกลุ่มเป็น 6 กลุ่ม