ย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อเวลา 13.20 น. ของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 ไม่มีใครคาดคิดว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษกำลังจะเกิดขึ้น แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ ได้กระทบพื้นที่ในประเทศเมียนมา ส่งคลื่นความสั่นสะเทือนข้ามพรมแดนมาถึงไทย ทำให้อาคารสูงในกรุงเทพมหานครและอีกหลายจังหวัดสั่นไหว ภายในไม่กี่นาที
วันนี้ วันศุกร์ที่ 4 มี.ค.68 ครบรอบ 1 สัปดาห์หลังเหตุการณ์มหันตภัยที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 3,000 ชีวิตในเมียนมา และอีกกว่า 20 ชีวิตในไทย นับเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในประวัติศาสตร์
ภาพอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ที่พังถล่มลงมาจนกลายเป็นเศษซากปรักหักพัง ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสูญเสียและความพยายามของเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ยังคงค้นหาผู้สูญหายอย่างไม่ย่อท้อแม้จะผ่านไปแล้ว 7 วันเต็ม โดยมีความหวังการพบผู้รอดชีวิต
ฐานเศรษฐกิจ สรุปตัวเลขสำคัญจากความเสียหายและการสูญเสียจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ ทั้งในเมียนมาและประเทศไทย ดังนี้
จากรายงานล่าสุด สำนักข่าวซินหัว ของจีน อ้างอิงข้อมูลจากสถานีวิทยุและโทรทัศน์เมียนมาเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 เผยตัวเลขความสูญเสีย
ข้อมูลรวมทั่วประเทศจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เมื่อเย็นวันที่ 3 เม.ย. 68 ระบุว่า
ยอดผู้เสียชีวิตแยกตามเขต (รวม 22 ราย)
ยอดผู้บาดเจ็บในกรุงเทพฯ (รวม 35 ราย)
การค้นหาผู้สูญหายยังคงดำเนินต่อเนื่อง โดยข้อมูล ณ วันที่ 4 เมษายน 2568 เวลา 05:30 น.:
ศูนย์รับแจ้งเพื่อตรวจสอบความเสียหายของอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว (ศรต.ยผ.) กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้รายงานผลการตรวจสอบอาคารที่มีการแจ้งว่าได้รับความเสียหาย ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม - 3 เมษายน 2568 ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด โดยแบ่งอาคารออกเป็น 3 กลุ่ม:
การแบ่งกลุ่มอาคารในการตรวจสอบ
แผ่นดินไหวครั้งนี้นับเป็นบทเรียนราคาแพงที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ การบังคับใช้มาตรฐานความปลอดภัยอาคารอย่างเข้มงวด และการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ
ขณะที่การค้นหาผู้สูญหายและการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยยังคงดำเนินต่อไป ภารกิจสำคัญของทุกภาคส่วนคือการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันความสูญเสียในอนาคต