24 มีนาคม 2568 นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ในประเทศไทยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงพบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชายและอันดับ 3 ในเพศหญิง (สถิติสถาบันมะเร็งแห่งชาติ) และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอัตราเสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 15 คน (ปีละ 5,476 คน) ผู้ป่วยใหม่ เฉลี่ยวันละ 44 คน ปีละ 15,939 คน
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง เกิดจากอายุที่มากขึ้นพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการดำเนินชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงประวัติพันธุกรรมในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีความเสี่ยงสูงขึ้น
นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์
เรืออากาศเอกนายแพทย์สมชาย ธนะสิทธิชัย ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า โดยทั่วไปโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงมีอุบัติการณ์เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป
ปัจจัยสำคัญ คือ การรับประทานโดยเฉพาะอาหารกลุ่มเนื้อแดง ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อหมูที่ผ่านการแปรรูปหรือปรุงด้วยความร้อนสูงเป็นเวลานาน ปิ้งย่างจนไหม้เกรียม อาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลที่ปรุงแต่งมากเกินไป การไม่ออกกำลังกายขาดการเคลื่อนไหวที่เพียงพอ ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ รวมถึงผู้มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงหรือโรคทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ FAP (FAMILIAL ADENOMATOUS POLYPOSIS)
โรคนี้ทำให้มีการเกิดติ่งเนื้อจำนวนมากในลำไส้ ถ้าไม่รักษาจะพัฒนากลายเป็นมะเร็ง, LYNCH SYNDROME เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่, MUTYH-ASSOCIATED POLYPOSIS (MAP) เป็นอีกหนึ่งความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้มีการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ ดังนั้น ผู้ที่มีประวัติความผิดปกติทางพันธุกรรมในครอบครัวควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อค้นหาความเสี่ยงเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
เรืออากาศเอกนายแพทย์สมชาย ธนะสิทธิชัย ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ
นายแพทย์กิตินัทธ์ ทิมอุดม นายแพทย์ชำนาญการด้านศัลยกรรมมะเร็งระบบทางเดินอาหารและตับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ระยะเริ่มต้นมักไม่พบอาการที่ชัดเจน แต่เมื่อโรคลุกลาม อาจมีอาการ เช่น ท้องผูกเรื้อรัง ท้องผูกสลับท้องเสีย การมีเลือดหรือมีมูกปนมาในอุจจาระ ปวดท้อง น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น
วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรค ได้แก่ การผ่าตัดเพื่อนำเนื้องอกมะเร็งออกทั้งหมด รวมถึงต่อมน้ำเหลือง, การรักษาด้วยเคมีบำบัดเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่หลังการผ่าตัด หรือเพื่อลดขนาดเนื้องอกก่อนผ่าตัดและรักษาโรคในระยะแพร่กระจาย, การรักษาด้วยรังสีเพื่อลดขนาดของเนื้องอกก่อนผ่าตัดหรือลดการเป็นกลับซ้ำหลังผ่าตัด
ดังนั้น การเข้ารับการตรวจประเมินเพื่อค้นหาความเสี่ยงจึงเป็นวิธีการที่สามารถป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงได้ แนะนำให้เริ่มตรวจเมื่ออายุ 50 ปี โดยการตรวจหาเม็ดเลือดแดงแฝงในอุจจาระ (FECAL IMMUNOCHEMICAL TEST : FIT) สามารถตรวจได้ว่า มีเลือดออกในทางเดินอาหารหรือไม่
การตรวจด้วยวิธีนี้เป็นประจำจะช่วยลดการเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่(COLONOSCOPY) เป็นวิธีการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด วิธีนี้จะช่วยให้เห็นภาพภายในลำไส้ใหญ่ทั้งหมดและสามารถเก็บชิ้นเนื้อที่สงสัยส่งตรวจทางพยาธิวิทยาได้
วิธีการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง
การทำสุขภาพให้แข็งแรงจะช่วยให้ห่างไกลทั้งจากโรคร้ายนี้และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาได้หากตรวจพบเจอแต่เนิ่น ๆ ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความผิดปกติทางพันธุกรรมมีความสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อคัดกรองค้นหาความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง