พล.อ.ท.อนุตตร จิตตินันทน์ (หมออนุตตร) อดีตประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (Anutra Chittinandana) โดยมีข้อความว่า
สถานการณ์โควิดสัปดาห์ที่ผ่านมาดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แนวโน้มผู้ป่วยโควิด-19 ที่ผล ATK+ และมารับการรักษาแบบ OPSI ลดลงเล็กน้อยจากราว 33,679 เป็น 31,149
แต่ผู้ป่วยใหม่เข้ารักษาในโรงพยาบาลเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จาก 2,121 เป็น 2,185
ที่น่าเป็นห่วงคือผู้ป่วยอาการหนัก ปอดบวมและใช้เครื่องช่วยหายใจยังเพิ่มขึ้นช้า ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตรายวันยังคงไม่ลดลง
ยังมีผู้คนที่รู้จักเป็นโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีคนโทรมาหาสอบถามขอความช่วยเหลือเลย
น่าจะเป็นจากระบบในการดูแลรักษาเริ่มเข้าที่เข้าทาง และมียาต้านไวรัสเพียงพอตามข้อบ่งชี้ ผู้คนมีประสบการณ์ในการเข้ารับบริการดีขึ้น
สถานการณ์เตียงใน รพ.ต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้ง กทม.ยังสามารถรองรับได้ ทั้งเคสสีเหลือง สีแดง
แต่คนทำงานก็เหนื่อยอยู่เพราะต้องดูแลทั้งผู้ป่วยโควิดและผู้ป่วยโรคทั่วไปที่ตอนนี้มารับการรักษากันใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดแล้ว
และยังคงมีปัญหาผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวและป่วยเป็นโควิด จำเป็นต้องรักษาพิเศษอยู่บ้าง เช่นผู้ป่วยฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
รัฐบาลกำลังจะประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลรักษาเหมือนไข้หวัดทั่วไป
คงเป็นเพราะต้องให้เศรษฐกิจและสังคมเดินหน้าต่อไป แต่เชื้อโรคคงไม่ได้รับรู้ด้วย ก็คงจะยังคงทำให้เกิดปอดบวม มีอาการรุนแรง เสียชีวิต
รวมทั้งเกิด long COVID ได้เหมือนเดิม โดยเฉพาะคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น
ถึงแม้ทุกอย่างคงต้องเดินหน้า แต่มาตรการส่วนบุคคล เว้นระยะห่าง ล้างมือ สวมใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง
หลีกเลี่ยงที่ชุมชนโดยเฉพาะผู้สูงอายุและมีปัจจัยเสี่ยง และอย่าลืมรับวัคซีนเข็มกระตุ้นกันให้ครบถ้วน ตอนนี้สามารถรับวัคซีนกัน หลังจากได้รับวัคซีนเข็มก่อนหน้ามานานกว่า 4 เดือนได้ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนทุกแห่ง
ส่วนผู้ที่มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ก็ควรรีบตรวจ ATK เพื่อจะได้แยกตัวและเข้ารับการรักษาพยาบาลหากผล ATK เป็นบวก และที่สำคัญก็ควรกักตัวจนมั่นใจว่าไม่ไปแพร่เชื้อให้กับคนอื่น
ตอนนี้ทางสาธารณสุขจะปรับให้กักตัวจาก 7 วันและดูแลตัวเองต่ออีก 3 วัน เป็นกักตัว 5 วัน และดูแลตัวเองต่ออีก 5 วัน
โดยอ้างเรื่องการเดินหน้าเศรษฐกิจ เรื่องนี้คงต้องให้ความระมัดระวังอย่างมาก และพวกเราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม
เพราะกักตัวเพียง 5 วันแล้วให้มาใช้ชีวิตตามปกติ ทำงานได้ตามปกติเพียงแค่บอกให้เว้นระยะห่าง สวมใส่หน้ากาก กับหลีกเลี่ยงชุมชน ไม่แน่ใจว่าจะทำได้จริงไหม โดยเฉพาะคนที่ทำงานสาธารณะ อย่างขับรถสาธารณะ พนักงานร้านค้าต่าง ๆ ภัตตาคาร สถานบันเทิง เป็นต้น
ขอให้ทุกคนโชคดีปราศจากโรคประจำถิ่นนะ