ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโพสเฟซบุก๊ส่วนตัว (ธีระวัฒน์เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha) โดยมีข้อความระบุถึงการกินอาหารช่วยชีวิตว่า
ชนิดและประเภทและปริมาณของอาหารได้รับการพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากการติดตามทางระบาดวิทยา ในคนต่างเชื้อชาติ ต่างฐานะ และรวมทั้ง การศึกษาทางกลไกในการปรับร่างกายให้ดีสามารถป้องกันหรือชะลอโรคที่เริ่มเกิดขึ้นแล้วแต่ไม่มีอาการ หรือแม้มีอาการแล้วก็ตาม
หมอธีระวัฒน์ บอกว่า ผู้ที่ชอบทานไข่และเนื้อถ้าสุขภาพแข็งแรงจริงไม่มีโรคใดแฝง และทานผักผลไม้กากไยมหาศาลไปด้วย นั่นคือวันละครึ่งกิโลกรัม อัตราส่วนผักผลไม้ = สองต่อหนึ่ง ย่อมทานได้ระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ ในปี 2556 ถือเป็นปีทองในการได้หลักฐาน ข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ความสำคัญของชนิดของอาหารที่กิน กลไก กระบวนการในการขจัดพิษ ในการเกิดสารดีมีประโยชน์ที่ช่วยปกป้องร่างกายและสมอง มีผลทั้งป้องกันโรคตั้งแต่ยังไม่เกิด และชะลอโรคไม่ให้ลุกลามต่อไป
ที่สำคัญคือช่วยได้แม้มะเร็ง และโรคอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน ซึ่งปัจจุบันเริ่มมียารักษาหรือชะลอได้ แต่ไม่ถึงกับชะงัด และยาที่ใช้มากมายขณะนี้ เป็นการรักษาตามอาการ และยามีผลข้างเคียง ทานมากไป ยังเร่งให้โรคไปเร็วขึ้น ตายเร็วขึ้นไปอีก
สำหรับอาหารที่ต้องกินและห้ามกินหรือกินอย่างพอประมาณต่อไปนี้ ถือว่าควรเริ่มแต่เด็ก เพราะโรคมีการเพาะบ่มยาวนาน นับสิบปี
การที่เกิดมะเร็ง มีอาการของโรคหัวใจ สมอง อัมพฤกษ์ ณ นาทีนี้ เป็นผลพวงของการสะสมความร้ายกาจมานาน รักษาอย่างไรก็ไม่ดีเท่ากับป้องกัน
สุดท้ายต้องผอม กลไกผ่านยีนยืดชีวิต ชะลอโรค sirtuin และ TOR โดยการทานแบบพระท่านฉัน ช่วงเช้า 6 ชั่วโมง ด้วยอาหารสุขภาพดังข้างต้น และงดหลังจากนั้น 18 ชั่วโมง ซึ่ง ในช่วงเวลานั้น เรายังสามารถกินผลไม้ถั่วได้
เป็น IF (intermittent fasting) แบบ early eater ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าดีกว่า IF ที่กินช่วงบ่ายเย็นกลางคืน (late eater)
เดินตากแดด วันละ 10,000 ก้าว
แดดมีประโยชน์มหาศาลและไม่ได้เสริมสร้างวิตามินดีอย่างเดียวผิวหนังสร้าง ฮอร์โมนเชื่อมโยงระบบป้องกันภัย ทั้งที่เกี่ยวกับโรคติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ
หมอธีระวัฒน์ ย้ำว่า การเอาแต่คิดว่าเป็นแล้วค่อยรักษา คือทางหายนะต่อตนเอง ครอบครัว และผู้อื่น และทำให้ระบบสาธารณสุขบัตรทองเราเสียหาย ไม่มีอะไรดีกว่าการป้องกัน