จากรายงานผู้ป่วยโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในปี 2564 มีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมากถึง 1,007,251 ราย รวมถึงยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการกินอาหาร และการกินยารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ร่วมด้วย อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ 1 โดยความรุนแรงของโรคไตเรื้อรัง แบ่งออกเป็น 5 ระยะ ตามประสิทธิภาพที่ไตสามารถทำงานได้
โดยการดูแลรักษา ระยะที่ 1-4 จะสามารถทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และการใช้ชีวิต เช่น งดสูบบุหรี่ ลดอาหารเค็ม จำกัดอาหารประเภทโปรตีน ฯลฯ แต่ในระยะที่ 5 หรือที่เรียกว่า "ระยะสุดท้าย" จะต้องรับการรักษาด้วยการบำบัดทดแทนไตร่วมด้วยจึงจะมีอาการที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ โรคไตระยะเริ่มต้นมักจะไม่แสดงอาการ การตรวจคัดกรองโรคจึงต้องตรวจหาค่าซีรั่มครีเอตินีน และตรวจไมโครอัลบูมินในปัสสาวะเท่านั้น ซึ่งอัลบูมินที่ปกติจะตรวจไม่พบในปัสสาวะเพราะไตสามารถกรองเก็บเอาไว้ได้
ในทางกลับกันถ้าตรวจพบอัลบูมินในปัสสาวะจะหมายถึง ประสิทธิภาพการกรองของไตลดลงและเสี่ยงที่จะเป็นโรคไตเรื้อรังแต่การตรวจด้วยวิธีนี้ผู้ป่วยต้องรับบริการที่โรงพยาบาลเท่านั้นแม้จะใช้เวลาในการตรวจไม่นานแต่ก็ต้องเสียเวลาและมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากสถานพยาบาล
จากปัญหาดังกล่าว ศ.ดร.นพ.ณัฐชัย ศรีสวัสดิ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายนักวิจัย สวรส. และทีม ได้ทำการวิจัย "โครงการพัฒนาระบบการคัดกรองโรคไตเรื้อรังระยะเริ่มต้นในระดับปฐมภูมิด้วยชุดตรวจ albuminuria" ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของชุดตรวจคัดกรองโรคไตเรื้อรังในระยะเริ่มต้น
รวมถึงพัฒนาแนวทางการตรวจคัดกรองโรคไตเรื้อรังในรูปแบบ point of care testing ซึ่งประกอบด้วย ชุดตรวจคัดกรองโรคไต ระบบบันทึกข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนผู้ป่วย การจัดเก็บ ประมวลและรายงานผลแบบอัตโนมัติ ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมการตรวจค่าการทำงานของไตและการแสดงแสดงผลค่าการตรวจ
จากผลการศึกษาพบว่า จากอาสาสมัครกลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีอาการ แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไตเรื้อรังระยะต้น และมีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 60 ปี โดยเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูงร่วมด้วย ทั้งหมด 2,313 ราย มีจำนวน 595 ราย หรือคิดเป็น 25.72% ของจำนวนทั้งหมดที่เข้าเกณฑ์สงสัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง โดยมีลักษณะที่เชื่อมโยงกับการเป็นโรคไตเรื้อรัง อาทิ อายุ เพศชาย โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง มีน้ำหนักตัวมาก ความยาวรอบเอวเกินเกณฑ์มาตรฐาน
นอกจากนี้การตรวจความผิดปกติของปริมาณอัลบูมินในปัสสาวะสามารถตรวจพบได้เร็วกว่าและบ่อยกว่าความผิดปกติของอัตราการกรองของไตโดยข้อมูลของกลุ่มอาสาสมัครที่เข้าเกณฑ์สงสัยพบว่า มีจำนวนอาสาสมัครที่มีปริมาณอัลบูมินต่อครีเอตินีน ในปัสสาวะผิดปกติมากกว่าจำนวนอาสาสมัครที่มีอัตราการกรองของไตผิดปกติ
ดังนั้น การตรวจวัดปริมาณอัลบูมินในปัสสาวะจึงมีความสำคัญในการตรวจคัดกรองโรคไตเรื้อรังระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีการกรองของไตยังเป็นปกติ
งานวิจัยยังระบุอีกว่า ในอาสาสมัคร 68.4% ยังคงมีความผิดปกติของการทำงานของไตที่เข้าเกณฑ์การวินิจฉัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรังอยู่ และจากการตรวจติดตาม 3 เดือน
ประเมินได้ว่า ความชุกของโรคไตเรื้อรังระยะต้นที่ไม่มีอาการในกลุ่มเสี่ยงนั้นอยู่ที่ประมาณ 17.5% เท่ากับความชุกของโรคไตเรื้อรังทุกระยะในประชากรทั่วไปจากการศึกษาของ Thai-SEEK ขณะที่ผลตรวจของอาสาสมัครกลุ่มที่เหลือที่กลับเป็นปกตินั้น
สันนิษฐานได้ว่า ผลตรวจครั้งแรกที่ผิดปกติอาจเกิดจากความผิดปกติของไตแบบเฉียบพลัน แล้วต่อมาก็หายกลับเป็นปกติได้ซึ่งการตรวจติดตาม 3 เดือน ทำให้สามารถแยกประเภทของโรคไตเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคที่เหมาะสมต่อไป
ส่วนผลการทดสอบอัลบูมินในปัสสาวะด้วยชุดแถบตรวจโรคพบว่า มีค่าความถูกต้องเฉลี่ย (accuracy) 94% ค่าความไวเฉลี่ย (sensitivity) 86% ค่าความจำเพาะเฉลี่ย (specificity) 97.8% ค่า PPV เฉลี่ย 88.2% และมีค่า NPV เฉลี่ย 97.4% ในการตรวจวินิจฉัยภาวะไมโครอัลบูมินรั่วในปัสสาวะ ซึ่งเป็นอาการแสดงเริ่มต้นของไตเรื้อรัง
จากผลการวิจัยดังกล่าว ฉายภาพให้เห็นว่า ชุดตรวจคัดกรองไมโครอัลบูมินในปัสสาวะที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูง ใช้งานสะดวก รวมถึงอ่านผลได้อย่างรวดเร็ว มีลักษณะเป็นชุดตรวจคัดกรองแบบ ATK (Antigen-Test Kit) จึงสามารถนำไปใช้ตรวจคัดกรองโรคไตเรื้อรังในระยะเริ่มต้นได้ด้วยตัวเองช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปตรวจที่โรงพยาบาล
อีกทั้งยังสามารถนำชุดตรวจฯ ไปใช้ในภาคสนาม โรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ขาดแคลนเครื่องมือทางห้องปฏิบัติการได้อย่างสะดวกทำให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคไตได้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ข้อเสนอเชิงนโยบายจากงานวิจัยระบุว่า ควรมีการนำชุดตรวจคัดกรองโรคไต และช่องทางการดูแลโรคไตนี้เข้าสู่สิทธิบัตรอย่างจริงจังเพื่อให้สามารถใช้ในสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิที่ใกล้ชิดกับประชาชนที่สุดอย่าง รพ.สต. หรือ ศูนย์บริการสาธารณสุข (ศบส.) ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนรู้ค่าอัลบูมินที่บ่งบอกถึงการเป็นโรคไตได้ตั้งแต่ต้นและเกิดการตระหนัก รวมถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตเพื่อนำไปสู่การลดจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายในภาพใหญ่ได้
ศ.ดร.นพ.ณัฐชัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในปี 2565 ได้มีการนำผลวิจัยไปต่อยอดในการขึ้นทะเบียนชุดตรวจคัดกรองกับสำนักงานคณะกรรรมอาหารและยา (อย.) และได้รับการรับรองเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหมายความว่า สามารถจับมือกับภาคเอกชนในการผลิตเป็นเชิงพาณิชย์เพื่อการจำหน่ายได้โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบข้อกฎหมายกับภาคธุรกิจเอกชนที่สนใจมาเป็นผู้จัดจำหน่ายและก้าวต่อไปในอนาคต
สำหรับการจะบรรจุนวัตกรรมงานวิจัยดังกล่าวเข้าสู่สิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยบัตรทองต้องร่วมกันขับเคลื่อนกันต่อกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งค่อนข้างมีความสนใจในชุดตรวจนี้ แต่ยังต้องมีการพัฒนาและพูดคุยกันในรายละเอียดต่อไป
ด้าน นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า การพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์เป็นอีกเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาระบบสุขภาพทั้งในเรื่องของการป้องกันและรักษาซึ่งการพัฒนางานวิจัยที่เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์เป็นอีกภารกิจหนึ่งของ สวรส. ที่พยายามผลักดันให้เกิดการสร้างองค์ความรู้ทางด้านนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ โดยมีหลักฐานทางวิชาการรองรับ รวมถึงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาระบบสุขภาพในภาพรวม
ตลอดจนการขับเคลื่อนไปสู่การรับรองมาตรฐาน การรับรองจาก อย. การประเมินความคุ้มค่า ฯลฯ เพื่อนำไปสู่การเสนอเข้าชุดสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทองซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้านวัตกรรมการดูแลรักษาต่างๆ มาจากต่างประเทศ และมากไปกว่านั้นอาจมีการพัฒนาต่อยอดไปสู่การส่งออกนวัตกรรมของคนไทยไปยังต่างประเทศได้อีกด้วย