ในขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ลดลงจนเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่น ล่าสุดทั่วโลกกำลังจับตา "ไวรัสสายพันธุ์ใหม่" ที่คาดว่าจะเข้ามาแทนที่โควิด -19 โดยเพจ "Center for Medical Genomics" หรือ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้โพสต์ข้อความ เตือนไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่จะมาแทน "โควิด" ซึ่งจะสามารถติดต่อได้จากสัตว์สู่คน โดยทางเพจได้ระบุข้อความว่า
"โลกพร้อมรับไวรัสตัวใหม่หลังโควิดหรือยัง?
"ไวรัสแลงยา (Langya)" หนึ่งในสมาชิกกลุ่มไวรัสเฮนิปา (henipavirus) ที่อาจมาแทนที่ไวรัสโควิด-19
ขณะที่ภัยคุกคามจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ดูเหมือนกำลังจะกลายสภาพเป็นโรคประจำฤดูกาลและโรคประจำถิ่นตามลำดับ แต่กลับพบไวรัสกลุ่มใหม่ "เฮนิปา (henipavirus)" ที่มีลักษณะการระบาดคล้ายโควิด-19 เข้ามาแทนที่
เฮนิปา 6 สายพันธุ์ที่พบ
โดยในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 ไวรัสลางยา (Langya, LayV) สมาชิกใหม่ของไวรัสเฮนิปาถูกตรวจพบในกลุ่มผู้ป่วยที่มีไข้ในภาคตะวันออกของจีน
ดร.เอเรียล ไอแซกส์ และดร.หยู ชาง โลว์ นักวิจัยจาก School of Chemistry and Molecular Biosciences แห่งมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลียได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยลงในวารสารวิชาการทางการแพทย์ "Nature Communications" ในเดือนนี้ (มิถุนายน 2566)
ชี้ให้เห็นว่า มีความสุ่มเสี่ยงสูงมากที่เชื้อ "ไวรัสแลงยา ในกลุ่มเฮนิปา(Langya henipavirus หรือ LayV,)" ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกำลังจะมีการแพร่ระบาดใหญ่ในมนุษย์
"ไวรัสแลงยา"สามารถข้ามจากสัตว์มาระบาดในคนได้
แม้ว่าขณะนี้ยังไม่พบการแพร่ระบาดระหว่างคนสู่คนก็ตามแต่กลับพบการแพร่ระบาดจากสัตว์สู่คนของไวรัสแลงยา และกลุ่มสมาชิกถี่ขึ้นเป็นลำดับและหากเกิดการกลายพันธุ์เพียงไม่กี่ตำแหน่งบนจีโนมที่ส่งผลให้ส่วนหนามของไวรัสเข้าจับกับเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้น จะช่วยให้ไวรัสแลงยาสามารถก้าวข้ามจากสัตว์มาระบาดในหมู่คนได้ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับไวรัสโคโรนา 2019 ในอดีต
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดีได้เตรียมพร้อม ตรวจสอบรหัสพันธุกรรมอย่างรวดเร็ว (mass array genotyping) เพื่อตรวจจับไวรัสแลงยาดังกล่าวจากสิ่งส่งตรวจแล้ว
คาดไวรัสตระกูล Paramyxoviridae ระบาดแทนที่โควิด-19
องค์การอนามัยโลก และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกคาดคะเนว่า ภัยคุกคามโรคติดเชื้อที่จะระบาดไปทั่วโลก (Pandemic) กับมนุษยชาติครั้งต่อไป นอกเหนือจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่หรือไวรัสไข้หวัดนกแล้วอาจเป็นกลุ่มไวรัสเฮนนิปา อันประกอบไปด้วย
ซึ่งจัดอยู่ในตระกูล Paramyxoviridae
ไวรัสแลงยา
ไวรัสโม่เจียง
ไวรัสนิปาห์
ไวรัสเฮนดรา
ไวรัสโม่เจียง เฮนดรา และ นิปาห์ ผู้ติดเชื้อจะมีอัตราการตายสูงกว่า 40-70% เป็นไวรัสที่สายจีโนมเป็น "อาร์เอ็นเอ" เมื่อติดเชื้อจะทำให้เกิดไข้และอาการระบบทางเดินหายใจอักเสบรุนแรงและอาจนำไปสู่โรคปอดบวมถึงแก่ชีวิตได้ เช่นเดียวกับโควิด-19
ไวรัสแลงยา
นักวิจัยเตือนว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไวรัสแลงยาแพร่ระบาดมาสู่ผู้คนและมันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ไวรัสตัวนี้ค่อนข้างใหม่ (สำหรับมนุษย์) ที่อาจก่อให้เกิดภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพทั่วโลกและมีความคล้ายคลึงกันอย่างน่ากังวลเช่นเดียวกับไวรัสโคโรนาที่มีการระบาดในมนุษย์ไปทั่วโลก
ดร.เอเรียล ไอแซกส์ และทีมวิจัยได้ค้นพบโครงสร้างของโปรตีนบนหนามของไวรัสที่เรียกว่า "ฟิวชันโปรตีน" หน้าที่ของฟิวชันโปรตีน คือ ทำหน้าที่เสมือนเป็นสะพานนำพาไวรัสแลงยาเข้าสู่เซลล์ โดยหลอมรวมผนังหุ้มของไวรัสเข้ากับเยื่อหุ้มเซลล์ของผู้ติดเชื้อ ทำให้ไวรัสสามารถเข้าไปภายในเซลล์และเริ่มการแบ่งตัวภายในเซลล์ติดเชื้อได้
ทีมวิจัยได้ศึกษาโครงสร้างฟิวชันโปรตีนในระดับอะตอมโดยใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนไครโอเจนิกของศูนย์จุลทรรศน์และการวิเคราะห์อนุภาคไวรัสของมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
การเข้าใจโครงสร้างและวิธีการเข้าสู่เซลล์ของ "ไวรัสแลงยา" ถือเป็นขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันและยาต้านไวรัสเพื่อการรักษาต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัสแลงยา ไวรัสโม่เจียง ไวรัสนิปาห์ และไวรัสเฮนดรา ในตระกูลของ Paramyxoviridae
"ขณะนี้ยังไม่มีการรักษาหรือวัคซีนสำหรับไวรัสกลุ่มนี้และพวกมันมีศักยภาพสูงที่องค์การอนามัยโลกให้เฝ้าติดตามการระบาดในวงกว้าง"
ศาสตราจารย์ แดเนียล วัตเตอร์สัน (Daniel Watterson) นักวิจัยอาวุโสในโครงการ กล่าวว่า พวกเขาพบว่าโครงสร้างฟิวชันโปรตีนในส่วนหนามของไวรัสแลงยา เหมือนกับไวรัสโม่เจียง และคล้ายคลึงกับไวรัสเฮนดราและไวรัสนิปาห์แต่มีความแตกต่างกันในแง่ของแอนติเจนกับไวรัสเฮนดราและไวรัสนิปาห์ ทำให้วัคซีนที่พัฒนาต่อไวรัสแลงยาอาจไม่ครอบคลุมป้องกันการติดเชื้อไวรัสเฮนดรา และไวรัสนิปาห์ได้
"ไวรัสเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดโรคร้ายแรงที่มีโอกาสที่จะควบคุมไม่ได้หากเราไม่เตรียมพร้อมอย่างเหมาะสม" ดร.วัตเตอร์สัน กล่าว และว่า
"เราได้เห็นว่า โลกไม่ได้เตรียมตัวอย่างไรสำหรับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ดังนั้น เราต้องเตรียมพร้อมมากกว่านี้สำหรับการระบาดครั้งต่อไปของโรคอุบัติใหม่"
ในตอนนี้ทีมวิจัยเร่งศึกษาส่วนหนามเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนาวัคซีนที่สามารถใช้ฉีดป้องกันไวรัสสายพันธุ์ย่อยได้ทั้งหมด (broad-spectrum vaccine) รวมทั้งการพัฒนายาต้านไวรัสเพื่อการรักษาโรคติดเชื้อไวรัส แลงยา, โม่เจียง, นิปาห์, และเฮนดราของตระกูล Paramyxoviridae
ไวรัสแลงยา
ตระกูล: Paramyxoviridae
สกุล: Henipavirus
การแพร่เชื้อ: สัมผัสกับสัตว์คล้ายหนูขนาดเล็ก (shew)
อาการ : อาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น มีไข้ ไอและอ่อนเพลีย
อัตราการเสียชีวิต: ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
ไวรัสโม่เจียง
ตระกูล: Paramyxoviridae
สกุล: Henipavirus
การแพร่เชื้อ: สัมผัสกับค้างคาวในถ้ำ
อาการ: อาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น มีไข้ ไอ และอ่อนเพลีย
อัตราการเสียชีวิต: 50%
ไวรัสเฮนดรา
ตระกูล: Paramyxoviridae
สกุล: Henipavirus
การแพร่เชื้อ: สัมผัสกับของเหลวจากม้าติดเชื้อ มีรังโรคอยู่ในค้างคาว
อาการ: มีไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เวียนศีรษะ
อัตราการเสียชีวิต: 60-75%
การระบาดครั้งแรกของไวรัสเฮนดราเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2537 ในเมืองเฮนดรา ชานเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลียซึ่งมีม้า 13 ตัวและครูฝึกเสียชีวิต 1 คน
ไวรัสนิปาห์
ตระกูล: Paramyxoviridae
สกุล: Henipavirus
การแพร่เชื้อ: สัมผัสกับของเหลวจากค้างคาวหรือหมูที่ติดเชื้อ
อาการ: มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อาเจียน กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลัน
อัตราการเสียชีวิต: 40-75%
การระบาดครั้งแรกของไวรัสนิปาห์เกิดขึ้นในมาเลเซียและสิงคโปร์ในปี 2542 ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเกือบ 300 รายและเสียชีวิตมากกว่า 100 ราย มีการบันทึกการระบาดเกือบทุกปีในบางส่วนของเอเชียตั้งแต่นั้นมา ส่วนใหญ่ในบังกลาเทศและอินเดีย
SARS-CoV-2 (โควิด-19)
วงตระกูล: Coronaviridae
สกุล: Betacoronavirus
การแพร่เชื้อ: ละอองทางการหายใจ, การสัมผัสใกล้ชิด
อาการ: มีไข้ ไอ หายใจถี่ สูญเสียการรับรสหรือได้กลิ่น
อัตราการเสียชีวิต: แตกต่างกันไปตามอายุและสภาวะสุขภาพพื้นฐาน แต่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1-2%
จากรายงานจากองค์การอนามัยโลก และกรมควบคุมโรค สหรัฐอเมริกามีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 รายแรกในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ในเดือนธันวาคม 2562
ไวรัสแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังส่วนอื่น ๆ ของจีนซึ่งนำไปสู่การแพร่ระบาดไปทั่วโลก (Pandemic) ตั้งแต่นั้นมาผู้คนนับล้านทั่วโลกเสียชีวิตจากโควิด-19 โดยมีรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดในสหรัฐอเมริกา บราซิล อินเดีย และเม็กซิโก"