ถ้า “โควิด” เป็น “โรคประจำถิ่น” หรือ ถูกถอดออกจากบัญชีโรคติดต่ออันตราย หรือโรคระบาด แล้วผลต่อเนื่องจะเป็นอย่างไร ? เป็นคำถามที่เกิดขึ้นหลังจากกระทรวงสาธารณสุขส่งสัญญาณว่า “เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับโควิดไปแบบไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่”
แม้ "องค์การอนามัยโลก (WHO)" จะเตือนว่าอย่างเพิ่งวางใจมองโควิดเหมือนไข้หวัด โดยเชื่อมั่นว่าภายในปีนี้โควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นได้ เร็วช้าขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศ และความร่วมมือจากประชาชน
ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565 ในที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติหารือในประเด็นสำคัญหนึ่งในนั้น คือ เห็นชอบแนวทางการพิจารณาให้โรคโควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่น (endemic disease) ภายใต้หลักเกณฑ์-เงื่อนไข
ผู้ป่วยรายใหม่ไม่เกิน 10,000 คนต่อวัน อัตราป่วยตายน้อยกว่า ร้อยละ 0.1 เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล น้อยกว่าร้อยละ 10 กลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรงได้รับวัคซีนอย่างน้อย 2 โดส มากกว่าร้อยละ 80 แต่ประชาชนก็ยังต้องปฏิบัติตัวตามมาตรการสาธารณสุขเคร่งครัดเหมือนเดิม
พร้อมทั้งได้มีการวางหลักเกณฑ์ไว้ 2 เฟส คือ 6 เดือนแรก และ 6 เดือนหลัง หากไม่มีเชื้อกลายพันธุ์ ประมาณ 6 เดือน มีการฉีดวัคซีนที่ครบ การควบคุมโรค และกฎหมายต้องสอดคล้องกัน
ประเทศไทยเข้าเกณฑ์เพียง 1 ข้อ เท่านั้น คือ ผู้ป่วยรายใหม่ไม่เกิน 10,000 ราย / วัน ซึ่งขณะนี้มีผู้ติดเชื้อรักษาระดับอยู่ที่ประมาณ 7,000 – 8,000 ราย ต่อวัน ซึ่ง ยอดโควิดวันนี้ 1 กุมภาพันธ์ 65 ติดเชื้อเพิ่ม 7,422 ราย เสียชีวิต 12 คน หายป่วย 8,715 ราย
การระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่เดือน ม.ค.2565 มียอดผู้เสียชีวิตสะสมถึง 475 คน 0.22% ขณะที่ภาพรวมของการเสียชีวิตจากสถานการณ์โควิด-19 ตั้งเเต่ปี 2563 มีผู้เสียชีวิตรวม 22,173 คน
กรมการแพทย์ รายงานสถานการณ์เตียงกรุงเทพฯและปริมณฑล วันที่ 28 มกราคม 2565 รวมทุกกลุ่ม มีเตียงทั้งหมด 67,804 เตียง ครองเตียงไปแล้ว 22,639 เตียง เตียงว่างทุกกลุ่ม 45,165 เตียง อัตราครองเตียงอยู่ที่ร้อยละ 33.39
ในส่วนของการฉีดวัคซีนขณะนี้ ไทยฉีดวัคซีนไปแล้วสะสม (28 ก.พ. 2564 - 30 ม.ค. 2565) รวม 115,053,572 โดส เเยกเป็นกลุ่มเป้าหมายสะสม 69,556,204 คน
เเต่กลุ่มเสี่ยงอย่างเฉพาะในกลุ่ม 607 ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 พบว่า กลุ่มที่เกิน 80% เป็นกลุ่มโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค
ขณะที่จังหวัดที่มีความครอบคลุมการได้รับวัคซีนโควิด เข็มที่ 2 กลุ่ม 607 คือ กลุ่มผู้สูงอายุ และ 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง ต่ำที่สุด 10 จังหวัด
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค สรุปคำว่า โรคประจำถิ่น ต้องมีการติดเชื้อที่ค่อนข้างคงที่ การติดเชื้ดคาดเดาได้ และสายพันธุ์ไม่เปลี่ยนแปลงมาก อาการรุนแรงไม่มาก
คำถามสำคัญก็คือ โรคโควิด-19 ต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะมีการระบาดกว้างขวางมากว่า 2 ปี ซึ่งระยะการระบาดใหญ่ทั่วโลกมี 3 ระยะ คือ 1. Pre-Pandemic ก่อนระบาดทั่วโลก 2. Pandemic มีการระบาดทั่วโลกกินเวลาสั้นๆ 1-2 ปี หรือหลายปี และ 3. Post-Pandemic เข้าสู่โรคประจำถิ่น หรือโรคติดต่อทั่วไป เมื่อมีจุดสูงสุดก็ต้องลงมาสักวันหนึ่ง
คำว่า Pre-Pandemic องค์การอนามัยโลกระบุ 5-6 ขั้นตอน -ขั้นตอนเเรก เจอไวรัสตัวใหม่ อาจมาจากสัตว์และมาเจอในคน จากนั้นติดต่อคนสู่คนจากทางเดินหายใจ ระบาดกว้างขวาง เมื่อเข้าสู่โควิด-19 มา 2 ปี หลังจากระบาดใหญ่ ทิศทางจะเป็นอย่างไร ก็จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น หรือโรคติดต่อทั่วไปนั่นเอง ซึ่งทิศทางการจัดการก็จะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกัน
“ขณะนี้ยังไม่ทราบว่า เมื่อไหร่จะผ่าน Pandemic หรือเป็น Post-Pandemic แต่คิดว่าภายในปีนี้น่าจะจัดการให้ผ่านพ้นการระบาดใหญ่ได้ ด้วยเหตุผล คือ คนทั่วโลกฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 1 หมื่นล้านโดส โดยประเทศไทยฉีดไปเกิน 115 ล้านโดส หรือคนไทยได้รับอย่างน้อย 2 เข็ม และอีกประการคือ ไวรัสกลายพันธุ์ ล่าสุดเป็นเชื้อโอมิครอน แม้ระบาดเร็วแต่ความรุนแรงน้อยลง เมื่อสถานการณ์คงที่ก็จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น แต่ไม่ได้แปลว่าจะเปลี่ยนเลย” นพ.โอภาส กล่าว
ระดับของโรคติดต่อและประเภทของโรคติดต่อตามกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันคือ พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง แบ่งได้อย่างน้อย 4 ระดับ
ทันทีที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติหยั่งเชิงว่าจะประกาศให้โควิด-19 เป็น โรคประจำถิ่น ดูเหมือนว่าจะมี 2 ฝั่งที่เห็นด้วยและมาเห็นด้วย ทางฝั่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ออกมาแสดงความคิดเห็นและตั้งคำถามที่อาจแสดงให้เห็นช่องว่างของคณะกรรมโรคติดต่อที่จะให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น
“นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา” ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นโควิดไม่ได้อยู่ในโรคติดต่ออันตราย ไม่ต้องมีการตรวจคัดกรองแยกกักตัว? ไม่ต้องมีการรายงาน? ถ้าเป็นการรักษา ต่อไปนี้ใช้สิทธิ์ของแต่ละคนเช่นใช้บัตรทอง? ไม่ต้องมีการชดเชยการประกอบธุรกิจค่าเสียหาย? การตรวจใดๆ เป็นการตรวจที่ต้องเสียเงินเอง? วัคซีนที่ใช้อยู่เป็นวัคซีนที่ออกมาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งสิ้น และปัจจุบันในประเทศไทยยังสามารถเรียกร้องค่าชดเชยผลกระทบจากวัคซีนได้ จาก สปสช. แล้วต่อจากนี้ยังสามารถรับค่าชดเชยได้หรือไม่ ?
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊คเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2565 ว่า โควิด-19 ไม่มีโอกาสเป็นโรคประจำถิ่น เพราะยังคงระบาดทั่วโลก และเป็นไปไม่ได้ที่จะระบาดอยู่เฉพาะถิ่น และได้พูดถึงโรคติดต่อ โรคติดต่ออันตรายร้ายแรง และพระราชบัญญัติโรคติดต่ออันตรายร้ายแรง
แม้ตอนนี้จะยังไม่มีการประกาศออกมาชัดเจนและมีการออกมายืนยันเรื่องสิทธิการรักษาของประชาชนแล้วว่าสามารถใช้สิทธิได้ตามกฎหมายก็ตาม ซึ่งประเทศไทยมีทั้งระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ แต่กระแสที่หนาหูมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยังคงทำให้สังคมเกิดคำถามมากมายถึงผลกระทบที่ตามมาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ทั้งการเข้ารับการรักษาพยาบาล ฉีดวัคซีน การใช้ชีวิตประจำวัน มาตรการทางสังคม นอน Hospitel ได้หรือไม่ การเข้าออกประเทศ การบังคับใช้มาตรการสำหรับนักท่องเที่ยว คำสั่ง ศบค. ต่างๆที่ออกมาบังคับใช้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเยียวยา การชดเชย ทั้งจากรัฐและเอกชน บริษัทประกันภัยเอกชนที่ยังมีปัญหาตกค้างเรื่องการจ่ายเงินชดเชยผู้ป่วยโควิด มีบางบริษัทขอเลิกกิจการไปก็มี และอีกหลายคำถามที่หน่วยงานสาธารณสุขจะต้องตอบคำถามให้กระจ่าง...