เมื่อมีคดีสำคัญ หรือแม้แต่ประเด็นร้อนๆในสังคม ระยะหลังมานี้เราได้เห็น "คนรู้กฎหมาย" ซึ่งส่วนมากคือ “ทนายความ” โดยเฉพาะในยุคโซเชียลมีเดียแบบนี้ สังคมได้พบกับ “ทนายความโซเชียล”
ที่ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์กับคดีและลูกความของตนเอง จนบางครั้งเกิดเสียงวิพากวิจารย์จากสังคมว่าเข้าข่ายการสร้างข่าวหรือไม่ และเป็นการหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดจริยธรรมและมรรยาทของทนายความอย่างไร
ยกตัวอย่างประเด็นสำคัญอย่าง “คดีแตงโม นิดา” เราได้เห็นทนายความหลายคนออกมาให้ความเห็นผ่านสื่อส่วนตัวและสื่ออื่นๆ จนล่าสุด ผบก.ภ.จ.นนทบุรี ในฐานะตำรวจที่ทำสำนวนคดีนี้ ได้แจ้งความดำเนินคดี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานและหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา หลังพูดออกรายการโทรทัศน์ ทำให้เจ้าพนักงานได้รับความเสียหาย
พอเกิดเรื่องร้องเรียนเเบบนี้ ก็น่าสนใจว่า ประชาชนสามารถตรวจสอบความประพฤติของทนายความได้อย่างและ สภาทนายมีบทบาทในเรื่องเหล่านี้บ้างหรือไม่ ปัญหาเหล่านี้จะมีทางออกอย่างไร
"ว่าที่ร้อยตรี ดร. ถวัลย์ รุยาพร นายกสภาทนายความ" บอกว่า ต้องดูว่าพฤติกรรมของทนายความเเต่ละคน เข้าข่ายมรรยาทหมวดไหนเพราะมีหลายหมวด แต่ตามข้อบังคับว่าด้วยมรรยาททนายความนั้นมีหมวดที่ระบุโดยสรุปได้ว่า ห้ามโอ้อวดให้คนมาหาในเชิงคดีหรือบอกว่าจะไม่เรียกว่าความคดี ไปจนถึงประพฤติตนเสื่อมเสีย ซึ่งมีโทษจากหนักไปหาเบา ประกอบด้วย โทษเบาสุด คือ ตักเตือนภาคทัณฑ์ โดยห้ามทำการเป็นทนายความ 3 ปี ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 2 ปี สุดท้ายลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ
“เตือนอยู่เสมอว่าไม่ให้โอ้อวดเพื่อให้มีคดีหรือบอกว่าจะไม่เรียกว่าความคดี ประพฤติตนเสื่อมเสีย ต้องดูเปนเรื่องๆไป การไปออกสื่อหรือใช้สื่อโซเชียลเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่ต้องไม่กระทบกับคนอื่น ถ้ากระทบกับใครก็สามารถแจ้งความฟ้องร้องได้ ประชาชนก็สามารถร้องเรียนได้หากได้รับผลกระทบ เช่น ทนายความไปหลอกลวง หรือแม้แต่หากเห็นว่าทนายความมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็ทำหนังสือเสนอมาที่ประธานคณะกรรมการมรรยาท เพราะมีอำนาจใช้ความปรากฎได้ มีสิทธิหยิบยกมาพิจารณาได้เลย ซึ่งคณะกรรมการมีการหารือในประเด็นมรรยาททุกเดือน” นายกสภาทนายความ อธิบาย
แน่นอนว่าทนายความเป็นวิชาชีพที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมที่จะค้นคว้าหาความจริงที่ซ่อนอยู่ในข้อพิพาทระหว่างคู่กรณี ให้เป็นไปตามตัวบทกฏหมาย ดังนั้นเราไม่อาจปฎิเสธได้ว่าทนายความควรมีความประพฤติที่เหมาะสมในขณะปฏิบัติหน้าที่ในศาล การปฏิบัติตนภายนอกศาลซึ่งเกี่ยวข้องกับคดี ควรอยู่ในกรอบของจริยธรรมทั้งในด้านส่วนตัวและต่อบุคคลอื่น
ข้อบังคับว่าด้วยมรรยาททนายความตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ 2529 ว่าด้วยมรรยาททนายความออกเป็น 5 หมวด คือ
เเต่สำหรับมรรยาททนายความข้อที่สำคัญนั้น
ข้อ 6 ไม่เคารพยำเกรงอำนาจศาล หรือกระทำการใดอันเป็นการดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในศาลหรือนอกศาล อันเป็นการทำให้เสื่อมเสียอำนาจศาลหรือผู้พิพากษา
ข้อ 7 กล่าวความ หรือทำเอกสารหรือหลักฐานเท็จ หรือใช้กลอุบายลวงให้ศาลหลง หรือกระทำการใดเพื่อทราบคำสั่ง หรือคำพิพากษาของศาลที่ยังไม่เปิดเผย
ข้อ 8 สมรู้เป็นใจโดยทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อทำพยานหลักฐานเท็จ หรือเสี้ยมสอนพยานให้เบิกความเท็จหรือโดยปกปิดซ่อนงำอำพรางพยานหลักฐานใดๆ ซึ่งรวรนำมายื่นต่อศาล หรือสัญญาจะให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน หรือสมรู้เป็นใจในการให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน
ข้อ 10 ใช้อุบายอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวต่อไปนี้ เพื่อจูงใจให้ผู้ใดมอบคดีให้ว่าต่าง หรือแก้ต่าง
ข้อ 12 กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวต่อไปนี้ อันอาจทำให้เสื่อมเสียประโยชน์ของลูกความ
ข้อ 13 ได้รับปรึกษาหารือ หรือได้รู้เรื่องกรณีแห่งคดีใดโดยหน้าที่อันเกี่ยวข้องกับคู่รวามฝ่ายหนึ่ง แล้วภายหลังไปรับเป็นทนายความหรือใช้ความรู้ที่ได้มานั้นช่วยเหลือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นปรปักษ์อยู่ในกรณีเดียวกัน
ข้อ 15 กระทำการใดอันเป็นการฉ้อโกง ยักยอก หรือตระบัดสินลูกความ หรือครอบครอง หรือหน่วงเหนี่ยวเงินหรือทรัพย์สินของลูกความที่ตนได้รับมาโดยหน้าที่อันเกี่ยวข้องไว้นานกว่าเหตุ โดยมิได้รับความยินยอมจากลูกความ เว้นแต่จะมีเหตุอันสมควร
ข้อ 16 แย่ง หรือทำการใดในลักษณะประมูลคดีที่มีทนายความอื่นว่าต่างแก้ต่างอยู่แล้วมาว่า หรือรับ หรือสัญญาว่าจะรับว่าต่าง แก้ต่างในคดีที่รู้ว่ามีทนายความอื่นว่าอยู่แล้ว เว้นแต่
ข้อ 17 ประกาศโฆษณา หรือยอมให้ผู้อื่นประกาศโฆษณาใดๆ ดังต่อไปนี้
ข้อ 18 ประกอบอาชีพ ดำเนินธุรกิจ หรือประพฤติตนอันเป็นการฝ่าฝืนศีลธรรมอันดีหรือเป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ
ข้อมูลอ้างอิง : สภาทนายความ