ระวัง! CDC เผยผลวิจัย ประสิทธิภาพวัคซีนโควิด "ลด" ในผู้สูงวัย 75 ปีอัพ

16 ธ.ค. 2564 | 04:35 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ธ.ค. 2564 | 11:48 น.

CDC ประมาณการเบื้องต้น ประสิทธิผลวัคซีนโควิด-19 ทั้ง ไฟเซอร์ โมเดอร์น่า และแจนส์เซ่น ต่อการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในผู้สูงวัย อายุ 75 ปีขึ้นไป ลดลงอย่างมีนัยยะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีบทความตีพิมพ์ในรายงานการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตรายสัปดาห์ (Morbidity and Mortality Weekly Report, MMWR) ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (Center for Disease Control and Prevention, CDC) เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2564 

 

ประมาณการเบื้องต้นของประสิทธิผลของวัคซีนโควิด-19 ต่อการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ที่นำไปสู่การเข้ารับการรักษาที่แผนกฉุกเฉิน (Emergency Department) หรือที่คลินิกดูแลเร่งด่วน (Urgent Care Clinic) และการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ที่ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในกลุ่มประชากรผู้ใหญ่ระหว่างช่วงเวลาที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ใน 9 รัฐ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่าง เดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2564
 

รายงานฉบับนี้ ดำเนินการโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) ที่ใช้ข้อมูลการเข้ารับการรักษาจำนวนทั้งสิ้น 32,867 ราย จากโรงพยาบาลจำนวน 187 แห่งและจากสถานพยาบาลประเภทแผนกฉุกเฉิน และคลินิกดูแลเร่งด่วน จำนวน 221 แห่ง ใน 9 รัฐของประเทศสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในเครือข่าย VISION

 

เพื่อทำการประเมินเบื้องต้นถึงประสิทธิผลของวัคซีนโควิด-19 ต่อการป้องกันการติดเชื้อที่นำไปสู่การเข้ารับการรักษาที่แผนกฉุกเฉินหรือที่คลินิกดูแลเร่งด่วน และ การป้องกันการติดเชื้อที่ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในกลุ่มประชากรผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) ระหว่างเดือน มิถุนายน - สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้า

 

การประเมินประสิทธิผลของวัคซีนครั้งนี้ จะเป็นการวิเคราะห์ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบจำนวนโดสที่กำหนดไว้ กล่าวคือ สองเข็มสำหรับวัคซีนไฟเซอร์ หรือวัคซีนโมเดอร์น่า และ หนึ่งเข็มสำหรับวัคซีนแจนส์เซ่น ตั้งแต่ 14 วันขึ้นไปแล้วเท่านั้น และการเก็บข้อมูลเริ่มต้น ณ.วันที่ แต่ละสถานพยาบาลของแต่ละรัฐตรวจพบไวรัสสายพันธุ์เดลต้าเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ขึ้นไปจากตัวอย่างทั้งหมด 

 


จากการศึกษาพบว่า ประสิทธิผลโดยรวมของวัคซีนต่อการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในประชากรผู้ใหญ่ประเภทที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอยู่ที่ 86% อย่างไรก็ดี ประสิทธิผลดังกล่าวจะลดลงอย่างมีนัยสําคัญในผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป เมื่อเทียบกับผู้ที่มีอายุ 18-74 ปี (76% เทียบกับ 89%) โดยที่ค่าประมาณประสิทธิผลของวัคซีนโควิด-19 ที่พบว่ามีความแตกต่างกันในช่วงอายุที่ต่างกันนั้น มีความคล้ายคลึงกันในวัคซีนไฟเซอร์ และวัคซีนโมเดอร์น่า 

 

นอกจากนี้ ยังพบว่าประสิทธิผลของวัคซีนในกลุ่มที่ทำการศึกษาทุกช่วงอายุนั้น ผู้ที่ได้รับวัคซีนโมเดอร์น่าจะแสดงประสิทธิผลในการป้องกันที่สูงกว่า (95%)  ผู้ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ (80%) และ วัคซีนแจนส์เซ่น (60%) อย่างมีนัยสำคัญ 

 

สำหรับประสิทธิผลโดยรวมของวัคซีนโควิด-19 ทั้ง 3 ชนิดต่อการป้องกันการติดเชื้อที่นำไปสู่การเข้ารับการรักษาที่แผนกฉุกเฉินหรือที่คลินิกดูแลเร่งด่วนนั้นอยู่ที่ 82% โดยพบประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อระดับสูงสุด ในผู้ที่ได้รับวัคซีนโมเดอร์น่า (92%) ตามมาด้วย ผู้ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ (77%)  และต่ำสุดพบในผู้ที่ได้รับวัคซีนแจนส์เซ่น (65%) 

 

โดยภาพรวมแล้ว ถึงแม้ว่าค่าประมาณการประสิทธิผลของวัคซีน ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้านี้ จะมีความคล้ายคลึงกับช่วงเวลาก่อนหน้าที่สายพันธุ์เดลต้าจะมีความโดดเด่นขึ้นมา แต่พบว่าประสิทธิผลของวัคซีนต่อการติดเชื้อโควิด-19 ประเภทที่ต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลในผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป ต่ำกว่าในผู้ใหญ่ที่มีอายุน้อยกว่า 75 ปีอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในข้อมูลของเครือข่าย VISION 

 

อย่างไรก็ดี การตีความของการลดลงของประสิทธิผลของวัคซีนนี้ ควรทำด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากอาจจะมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของเชื้อไวรัสเอง, การลดระดับลงของภูมิคุ้มกันเมื่อเวลาผ่านไป หรืออาจจะเกิดจากทั้งสองปัจจัยรวมกันก็เป็นได้ 

 

สำหรับความแตกต่างของประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อระหว่างวัคซีน mRNA ทั้งสองชนิดที่พบในรายงานครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่เคยปรากฏมาก่อนในข้อมูลของเครือข่าย VISION แต่ก็มีความสอดคล้องกับการค้นพบล่าสุด ที่มีการรายงานโดย Puranik et al. ที่มีการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของวัคซีน mRNA ทั้งสองชนิดที่แตกต่างกันในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์แอลฟ่า และเดลต้า อย่างไรก็ดี การวิเคราะห์ตรวจสอบเพิ่มเติมในแง่ของขนาดของความต่างและสาเหตุ ที่ทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจจะศึกษาต่อไป

 

ข้อมูลจากผลการวิจัยเหล่านี้ เป็นการยืนยันว่าวัคซีนโควิด-19 ช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ระดับปานกลางและรุนแรง ที่นำไปสู่การเข้ารับการรักษาที่แผนกฉุกเฉินหรือที่คลินิกดูแลเร่งด่วน และ การติดเชื้อที่ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนี้ แล้วยังเป็นการเน้นย้ำถึงความสําคัญของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ครบจำนวนโดส และประโยชน์ที่ได้รับอย่างต่อเนื่องของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้า