นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือไทยยูเนี่ยน เปิดเผยว่า เพื่อตอบรับการเติบโตของเมกะเทรนด์ Humanization ของครอบครัวที่ดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกคนสำคัญทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมี่ยมมีการเติบโตตามไปด้วย
ขณะที่โมเดลธุรกิจของไอ-เทลฯ มุ่งเน้นการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) เกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยงครบวงจรให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และการผลิตแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้ตราสินค้าของ ไอ-เทล เอง มีทั้งอาหารแมว อาหารสุนัข และขนมทานเล่น ซึ่งปัจจุบันสินค้าที่ผลิตโดย ไอ-เทล มีวางจำหน่ายในกว่า 45 ประเทศทั่วโลก
“ไอ-เทล ร่วมกับพันธมิตรเน้นการพัฒนาอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ด้วยจุดเด่นที่มีบริการครบวงจรตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตัว (personalized solution) กระบวนการการผลิต ยังมีระบบนิเวศเชิงนวัตกรรม (innovation ecosystem) ที่รอบด้าน
เช่น Global PetCare Innovation Center ที่มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มและส่วนผสมใหม่ โดยเน้นเรื่องความยั่งยืน ศูนย์ Global Innovation Center ของไทยยูเนี่ยน และยังมีโรงงานต้นแบบสำหรับผลิตภัณฑ์สินค้าทดลองให้ลูกค้าก่อนพัฒนาสู่ตลาดจริง รวมทั้งศูนย์ i-Tail Cattery เพื่อศึกษาอาหารสำหรับแมวโดยเฉพาะ”
ล่าสุดบริษัทได้ยื่นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุนมาใช้ในการปรับปรุงโรงงานให้ทันสมัยด้วยระบบและเครื่องจักรอัตโนมัติเพื่อขยายกำลังการผลิตและประสิทธิภาพการผลิต ขยายระบบโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการผลิต ลงทุนในระบบคลังสินค้าและติดฉลากอัตโนมัติ รวมถึงต่อยอดศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนให้กับบริษัท
ปัจจุบันไอ-เทล มีโรงงานผลิตอาหารสัตว์ 2 แห่งในจังหวัดสมุทรสาครและสงขลา ที่มีกำลังการผลิตรวม 172,786 ตัน/ปี พร้อมด้วยคลังสินค้าทันสมัยที่มีพื้นที่จัดเก็บรวม 68,770 พาเลท โดยนำระบบ การผลิตแบบอัตโนมัติมาใช้ในหลายขั้นตอน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการและควบคุมต้นทุน กระบวนการผลิตของไอ-เทล โดยโรงงานทั้งสองแห่งได้รับการรับรองมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยจากทั้งหน่วยงานระดับชาติและระดับสากล ไม่ว่าจะเป็น GMP HACCP และ BRC Global Standard for Safety
สำหรับผลประกบการของบริษัทที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกในช่วงปี 2559-2564 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 5.5-5.8% สัดส่วนรายได้จากการขายของ ไอ-เทล ในปี 2564 แบ่งเป็นสัดส่วนจากอเมริกา 44.9% ยุโรป 19.4% ญี่ปุ่น 14.5% และจีน 3.2% ส่วนตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกในปี 2564 มียอดขายปลีกประมาณ 131,000-135,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องโดยคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโต 7.1% ในอีก 5 ปีข้างหน้า
โดยเฉพาะตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับแมวและสุนัขในประเทศจีน ที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 19.8% ในปี 2564-2569 ซึ่งเป็นตลาดที่ ไอ-เทล เห็นช่องว่างในการเติบโตได้มากขึ้นและปัจจุบันมียอดขายอยู่ราว 3% เท่านั้น ดังนั้นจึงมีแผนรุกตลาดทั้งอาหารแมวและสุนัข
“ไอ-เทล ถือเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง โดยปัจจุบันเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง อันดับ 2 ในเอเชีย และอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก มีผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายรวมกว่า 4,600 ชนิดให้กับแบรนด์ชั้นนำในกว่า 45 ประเทศทั่วโลก หลังปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้เชื่อมั่นและพร้อมเดินหน้ารุกตลาดมากยิ่งขึ้น”
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,802 วันที่ 21 - 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565