ระยะทางจากวังเวียง ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์จะว่าไปแล้วเพียง 150-160 กิโลเมตรเท่านั้น
เทียบให้เห็นภาพ เปรียบเหมือนขับรถจากกรุงเทพไปพัทยา ถ้าใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ก็อาจจะเพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมงเท่านั้น
แต่สำหรับวังเวียง ถ้าย้อนไปสักช่วง 3-4 ปีก่อนหน้านี้ หลายคนที่เคยไปอาจจะบ่นอุบ กับสภาพการถนนหนทาง การเดินทางด้วยรถยนต์/รถบัส 3-4 ชั่วโมง ทุลักทุเลเอาเรื่อง
แต่นั่น คงกลายเป็นแค่การบ่นพึมพำในอดีตที่กรุณาเก็บไว้เล่าให้ลูกหลานฟัง เพราะตอนนี้ทางเลือกการเดินทางจากนครหลวงเวียงจันทน์ ไป วังเวียง สะดวก รวดเร็วชนิดที่ว่าบรรดาคนที่เคยไปเยี่ยมยามวังเวียง ถึงกับร้องว้าว..กันเลยทีเดียว
การเดินทางครั้งนี้ เราไปเที่ยววังเวียงในเวลา 3 วัน 2 คืน เริ่มจากนั่งเครื่องบินไทยแอร์เอเชียจากดอนเมืองไปลงสนามบินอุดรธานี ต่อด้วยรถตู้ไปยังด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่หนองคาย ถึงนั่นก็สองทุ่มกว่าๆ ต่อรถตู้ข้ามไปฝั่งลาว เข้าสู่กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ใช้เวลาไม่นาน
เอกสารใช้เพียง กรอกใบ ตม.10 ที่วางอยู่บนโต๊ะหินอ่อน+พาสปอร์ต+ใบรับรองการฉีดวัคซีนครบโดส ซึ่งภาษาลาว เรียกว่า “ใบสักยา” สำหรับคนไทยปริ๊นเองได้จากแอปหรือเว็บ “หมอพร้อม” ไปยื่นกับเจ้าหน้าที่ตม.ของสปป.ลาวได้เลย
เสร็จกระบวนการตม.สามทุ่มนิดๆ ก็บึ่งรถตู้พวงมาลัยซ้าย จากด่านไปยังโรงแรมในนครหลวงเวียงจันทน์ พักเอาแรงสักคืน
6 โมงเช้าล้อหมุนออกจากโรงแรม มุ่งหน้า “สถานีรถไฟนครหลวงเวียงจันทน์” เพื่อให้ทันขึ้นรถไฟลาว-จีนความเร็วปานกลาง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ถึงสถานีรถไฟ 7 โมงนิดๆ บรรยากาศคล้ายๆสถานีกลางบางซื่อที่มีกลิ่นของหัวลำโพง คือมีรถเข็น หาบเร่ มาขายอาหาร เครื่องดื่มด้านหน้า เพราะนำติดตัวเข้าไปทานในโบกี้ได้
ตั๋ว (ภาษาลาวเรียก ปี้รถไฟ) ที่ได้มีราคา 125,000 กีบ หรือ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 300 บาท ก็ไปต่อคิวให้เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว 1 จุดก่อนเข้าไปในสถานี จากนั้นต้องผ่านเครื่องสแกนวัตถุแบบเดียวกับสนามบิน แต่ที่นี่นำน้ำดื่ม อาหาร เข้ามาได้
นั่งรอเวลาเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ไม่นานเสียงเจ้าหน้าที่เรียกเป็นภาษาลาว ต่อด้วยภาษาจีน ก็เรียกให้ไปต่อแถวตรวจตั๋วก่อนขึ้นรถไฟอีกรอบ
ใช้เวลาเดินทางจากสถานีเวียงจันทน์ ถึง สถานีวังเวียง ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมง
ออกมาจากโบกี้ มองไปโดยรอบมีภูเขาล้อมรอบ ถือเป็นจุดเด่นของวังเวียง เพราะพื้นที่ภูมิประเทศรอบเมืองเป็นคาสต์ เป็นที่ราบระหว่างภูเขาหินปูน ป่าไม้สมบูรณ์ ตัดกับก้อนเมฆสีครามสวยงามมาก แต่อย่ายืนถ่ายรูปชมความงามเพลินเกินไป เพราะสถานีจะปิดตรงเวลา ล็อคกุญแจทันทีเมื่อผู้โดยสารออกจากสถานี
จากนั้นก็เลือกเดินทางได้ไม่ยาก มีทั้งรถตู้ รถสองแถว หน้าสถานีรถไฟ ไปยังจุดท่องเที่ยวที่คุณต้องการตามรอย
โรงแรมที่ผมพักทริปนี้ คือโรงแรม AMARI วิวสระน้ำ มองเห็น “แม่น้ำซอง” สายน้ำหลักของวังเวียงอยู่ไม่ไกลนัก พบว่า 90% ช่วงที่ไปมีแต่กลุ่มทัวร์ของคนไทย ที่ไปทั้งแบบเหมาทัวร์ กับไปแบบครอบครัว ก็มีความรู้สึกอบอุ่นดีไม่น้อย
มีโอกาสได้ไปตามรอยท่องเที่ยวในจุดแลนด์มาร์คของวังเวียง คือ “แม่น้ำซอง” กิจกรรมหลักคือ พายเรือคายัค ถ้าไม่ถนัดก็มีเรือยนต์ให้เช่าขี่พร้อมคนขับ จากต้นน้ำถึงปลายน้ำใช้เวลาประมาณ 1-1.30 ชั่วโมง
หากไม่ถนัดพายเรือ ก็มีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อย่างเช่น “ถ้ำนางฟ้า” ซึ่งค้นพบเมื่อปี 2018 จากนั้นโควิดระบาดปี 2019 ถ้ำต้องปิดชั่วคราว ระยะทางภายในถ้ำ 200 กว่าเมตร แต่เย็นยะเยือกและสดชื่นด้วยน้ำภายในถ้ำ หินงอกหินย้อยสวยงาม จุดไฮไลท์คือ หินงอกเป็นลักษณะเหมือน ผู้หญิงสวมกระโปรง จึงเป็นที่มาของชื่อถ้ำ
ไม่ไกลกันนัก มีจุดบริการโหนสลิง ข้ามแม่น้ำซอง ที่บอกเลยว่าใครมาแล้วไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
หรือจะไป “ถ้ำจัง” ถ้ำในตำนานของวังเวียง แลนด์มาร์ค ยุคบุกเบิกที่อยู่บนภูเขา มีบันได 147 ขั้นเป็นบททดสอบความแข็งแรง แต่เมื่อเข้าไปในถ้ำได้แล้ว บอกเลยว่า สดชื่น หายเหนื่อย กับหินงอก หินย้อย
อ๋อ แล้วก็อย่าลืม มาวังเวียงทั้งทีต้องหาอาหารพื้นที่บ้านรับประทาน โดยเฉพาะตำบักหุ่ง ที่มีตำหลวงพระบาง เส้นมะละกอเส้นใหญ่ ปลาร้านัวๆ แซ่บคักแน
จนถึงวันเดินทางกลับ ชาวคณะเลือกเดินทางด้วยรถยนต์ ขึ้นทางด่วนมอเตอร์เวย์แห่งใหม่
จากวังเวียงไปยังด่านชายแดนที่เวียงจันทน์ สนนราคาค่าทางด่วน 100,000 กีบ หรือ ประมาณ 200 บาท ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆก็ถึงสะพานมิตรภาพฯ เดินทางกลับไทยโดยสวัสดิภาพ
แต่แอบตั้งเป้าไว้ในใจว่า วันหน้าฉันจะกลับมาวังเวียงอีก
หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,807 วันที่ 7 - 10 สิงหาคม พ.ศ. 2565