เปิด 10 ปรากฏการณ์ดาราศาสตร์น่าติดตาม ปี 2566

04 ม.ค. 2566 | 00:37 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ม.ค. 2566 | 14:47 น.

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ หรือ NARIT เผย 10 ปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ ปี 2566 โดยเริ่มจากเรื่องที่ 1 กับ 5 เรื่องทางดาราศาสตร์ที่จะเกิดขึ้น

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ หรือ NARIT เผยว่า จากนี้ไปอีก 10 วัน พบกับ 10 ปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ ปี 2566 โดยระบุว่า เรื่องดาราศาสตร์น่าติดตามในปี 2566 วันละเรื่อง ! มาดูกันว่าในปีนี้มีเรื่องราวดาราศาสตร์ที่น่าจับตาบ้าง

 

 

เรื่องที่ 1 ปรากฏการณ์ดาราศาสตร์สำคัญ ในปี 2566

 

ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลก และดวงจันทร์เต็มดวงไกลโลก

 

  • ดวงจันทร์เต็มดวงไกลโลกที่สุดในรอบปี (Micro Full Moon) 6 กุมภาพันธ์ 2566 ระยะห่างจากโลกประมาณ 405,818 กิโลเมตร เวลา 01:30 น. คืนดังกล่าวจะสังเกตเห็นดวงจันทร์เต็มดวงมีขนาดปรากฏเล็กกว่าปกติเล็กน้อย 

 

เวลาที่เหมาะสมในการสังเกตการณ์ คือช่วงเย็นวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ตั้งแต่เวลาประมาณ 18:02 น. เป็นต้นไป ดูได้ด้วยตาเปล่า ทางทิศตะวันออก 

 

  • ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบปี  และเต็มดวงครั้งที่สองของเดือน (Super Blue Moon) 31 สิงหาคม 2566 ระยะจากโลกห่างประมาณ 357,334 กิโลเมตร เวลา 08:37 น. คืนดังกล่าวจะสังเกตเห็นดวงจันทร์เต็มดวงมีขนาดปรากฏใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย

ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลก และ ดวงจันทร์เต็มดวงไกลโลก

 

เวลาที่เหมาะสมในการสังเกตการณ์ คือช่วงเย็นวันที่ 30 สิงหาคม ตั้งแต่เวลาประมาณ 18:09 น. เป็นต้นไป ดูได้ด้วยตาเปล่า ทางทิศตะวันออก 

 

ปรากฏการณ์ดาราศาสตร์สำคัญ ในปี 2566

ดวงจันทร์บังดาวศุกร์ 24 มีนาคม 2566

 

คืนวันที่ 24 มีนาคม 2566 จะเกิดปรากฏการณ์ดวงจันทร์บังดาวศุกร์ เริ่มสังเกตการณ์ได้ในช่วงหัวค่ำทางทิศตะวันตก วัตถุทั้งสองอยู่เคียงกันสูงจากขอบฟ้าประมาณ 32 องศา โดยดาวศุกร์จะเริ่มสัมผัสขอบดวงจันทร์ในเวลาประมาณ 18:37 น. ซึ่งในช่วงเวลานั้นยังมีแสงสนธยา

 

ทำให้อาจสังเกตปรากกฏการณ์ได้ยาก ดาวศุกร์ค่อย ๆ ลับหายไปด้านหลังของดวงจันทร์ และโผล่พ้นออกมาทั้งดวงอีกครั้งในเวลาประมาณ 19:46 น. อยู่สูงจากขอบฟ้าทิศตะวันตกประมาณ 16 องศา (ข้อมูลดังกล่าวคำนวณจากพื้นที่กรุงเทพมหานคร หากสังเกตการณ์ในพื้นที่อื่น ช่วงเวลาของการบังอาจจะเริ่มและสิ้นสุดไม่พร้อมกัน)

 

“ดวงจันทร์บังดาวศุกร์” ถือเป็นปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ที่หาชมยาก เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และนานทีๆจะสังเกตการณ์ได้ในประเทศไทย หากชมผ่านกล้องโทรทรรศน์จะสังเกตเห็นดาวศุกร์ค่อยๆ ลับหายไปหลังดวงจันทร์และค่อยๆ โผล่พ้นออกมาทั้งดวงได้อย่างชัดเจน ครั้งต่อไปที่สามารถสังเกตได้ในประเทศไทย คือวันที่ 14 กันยายน 2569 

 

จันทรุปราคา-สุริยุปราคา เหนือฟ้าเมืองไทย

 

ปรากฏการณ์จันทรุปราคา เกิดจากดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน มีโลกอยู่กลางระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ และเป็นจังหวะที่ดวงจันทร์โคจรผ่านเข้าไปในเงาของโลก ทำให้ผู้สังเกตบนโลกในพื้นที่กว่าครึ่งโลก

 

สามารถมองเห็นดวงจันทร์เว้าแหว่ง หายไปในเงามืดแล้วโผล่กลับออกมาอีกครั้ง จะเกิดขึ้นเฉพาะในคืนวันเพ็ญ 15 ค่ำ หรือคืนวันดวงจันทร์เต็มดวงเท่านั้น เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง บางปีอาจมีได้มากถึง 5 ครั้ง
 

จันทรุปราคาเงามัว 6 พฤษภาคม 2566 สังเกตได้ในบริเวณทวีปเอเชีย ออสเตรเลีย ยุโรปตะวันออก ยุโรปใต้ แอฟริกา มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรอินเดีย และแอนตาร์กติกา

 

สำหรับประเทศไทยเริ่มสังเกตได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 22.14 - 02.32 น. (เวลาท้องถิ่น ณ กรุงเทพมหานคร) ดวงจันทร์จะเริ่มเคลื่อนเข้าสู่เงามัวของโลกตั้งแต่เวลาประมาณ 22.14 น. ของวันที่ 5 พฤษภาคม 2566  เข้าสู่เงามัวมากที่สุดเวลาประมาณ 00.23 น. ของวันที่ 6 พฤษภาคม 2566 จากนั้นจะค่อยๆ เคลื่อนออกจากเงามัว จนสิ้นสุดปรากฏการณ์ในเวลาประมาณ 02.32 น.

 

ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเงามัว เกิดจากดวงจันทร์โคจรเข้าไปในเงามัวของโลกบางส่วน ไม่ได้ผ่านเข้าไปในเงามืดของโลก ดวงจันทร์จึงไม่เว้าแหว่ง ยังคงมองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงแต่มีความสว่างในส่วนที่อยู่ในเงามัวลดลงเล็กน้อยเท่านั้น จึงสังเกตด้วยตาเปล่าได้ไม่ชัดเจนนัก

 

จันทรุปราคาบางส่วน 29 ตุลาคม 2566  สังเกตเห็นได้ในบริเวณทวีปยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย แอฟริกา อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แปซิฟิก แอตแลนติก มหาสมุทรอินเดีย อาร์กติก แอนตาร์กติกา  สำหรับประเทศไทยเริ่มสังเกตได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 01.01 - 05.26 น. (เวลาท้องถิ่น ณ กรุงเทพมหานคร)

 

ในคืนดังกล่าว ดวงจันทร์เข้าสู่เงามัวของโลก เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเงามัว เวลาประมาณ 01.01 น. แสงสว่างของดวงจันทร์จะลดลงเล็กน้อย สังเกตด้วยตาเปล่าได้ค่อนข้างยาก จนกระทั่งเวลาประมาณ 02.35 น. ดวงจันทร์เข้าสู่เงามืดของโลก เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบางส่วน

 

สังเกตเห็นดวงจันทร์เต็มดวง เว้าแหว่งไปทีละน้อย เงาโลกบังมากที่สุด เวลาประมาณ 03.14 น. ประมาณร้อยละ 6 ของเส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์ จนสิ้นสุดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบางส่วนในเวลาประมาณ 03.52 น. รวมเวลาเกิดจันทรุปราคาบางส่วนนาน 1 ชั่วโมง 17 นาที จากนั้นดวงจันทร์เข้าสู่เงามัวของโลกอีกครั้ง และสิ้นสุดปรากฏการณ์โดยสมบูรณ์ในเวลาประมาณ 05.26 น.

 

สำหรับปรากฏการณ์จันทรุปราคาที่จะสังเกตเห็นได้ในประเทศไทยครั้งถัดไป เป็น “จันทรุปราคา  เต็มดวง” ในวันที่ 8 กันยายน 2568

 

สุริยุปราคา ในวันที่ 20 เมษายน 2566 จะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาแบบผสม (Hybrid Solar Eclipse) เป็นสุริยุปราคาลำดับที่ 52/80 ชุดซารอสที่ 129 แนวคราสจะเคลื่อนจากมหาสมุทรอินเดียไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก

 

ส่วนใหญ่จะพาดผ่านมหาสมุทร แต่ก็พาดผ่านแผ่นดินบางส่วนที่เป็นเกาะใหญ่ ๆ ด้วย อาทิ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศติมอร์ตะวันออก และประเทศอินโดนีเซีย (เกาะปาปัวและปาปัวตะวันตก) ตั้งแต่เวลา 09:42 - 12:52 น. (ตามเวลาประเทศไทย) การเกิดคราสครั้งนี้ ดวงอาทิตย์จะถูกดวงจันทร์บดบังนานที่สุดเพียง 1 นาที 16 วินาที

 

สุริยุปราคาแบบผสม (Hybrid Solar Eclipse) เป็นสุริยุปราคาที่เกิดทั้ง 2 ประเภทในครั้งเดียว ได้แก่ สุริยุปราคาวงแหวน (Annular Solar Eclipse) และสุริยุปราคาเต็มดวง (Total Solar Eclipse)

 

เนื่องจากโลกมีผิวโค้ง ทำให้แต่ละตำแหน่งบนโลกมีระยะห่างถึงดวงจันทร์ไม่เท่ากัน ผู้สังเกตที่อยู่ไกลจากดวงจันทร์จะเห็นเป็นสุริยุปราคาวงแหวน ในขณะที่ผู้สังเกตที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากกว่าจะเห็นสุริยุปราคาเต็มดวง
 

สำหรับประเทศไทยเห็นเป็นสุริยุปราคาบางส่วน ตั้งแต่เวลาประมาณ 10:30 - 11:33 น. เห็นได้ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคใต้ แต่ละพื้นที่ดวงอาทิตย์จะถูกบดบังมากที่สุดไม่เท่ากัน ดังนี้

 

  • จังหวัดกระบี่ (ร้อยละ 0.01)

 

  • นครศรีธรรมราช (ร้อยละ 0.32)

 

  • ตรัง (ร้อยละ 0.61)

 

  • พัทลุง  (ร้อยละ 0.93)

 

  • สงขลา (ร้อยละ 1.77)

 

  • สตูล (ร้อยละ 1.77)

 

  • ปัตตานี (ร้อยละ 2.82)

 

  • ยะลา (ร้อยละ 3.22)

 

  • นราธิวาส (ร้อยละ 4.06)

 

  • รวมถึงบางส่วนของจังหวัดตราด (ร้อยละ 0.02) อุบลราชธานี (ร้อยละ 0.1) และศรีสะเกษ (ร้อยละ 0.01)

 

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) จัดทีมไปสังเกตการณ์ และเก็บข้อมูลปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงในครั้งนี้ ณ เมืองคอม ประเทศติมอร์ตะวันออก ซึ่งสามารถสังเกตได้นานถึง 1 นาที 15 วินาที พร้อมตั้งจุดสังเกตการณ์ปรากฏการณ์สุริยุปราคาบางส่วนในประเทศไทย ณ หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา สงขลา ซึ่งจะเห็นดวงอาทิตย์ถูกบดบังมากที่สุดร้อยละ 1.82

 

ดาวศุกร์สว่างที่สุดในรอบปี  

 

ดาวศุกร์สว่างที่สุดในรอบปี (The Greatest Brilliancy) เป็นช่วงที่ดาวศุกร์มีขนาดเสี้ยวค่อนข้างใหญ่ และโคจรห่างจากโลกในระยะที่เหมาะสม มีค่าอันดับความสว่างปรากฏมากถึง -4.6 หากสังเกตผ่านกล้องโทรทรรศน์ดาวศุกร์จะปรากฏเป็นเสี้ยวคล้ายดวงจันทร์ สำหรับในช่วงวันอื่น ๆ แม้ดาวศุกร์จะมีเสี้ยวที่หนากว่า แต่ด้วยตำแหน่งอยู่ที่ห่างจากโลก ความสว่างจึงลดลงตามไปด้วย 

 

ในปี 2566  ดาวศุกร์จะปรากฏสว่างที่สุด 2 ครั้ง ได้แก่

 

  • ช่วงหัวค่ำ ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 ปรากฏสว่างเด่น เห็นชัดเจนด้วยตาเปล่าทางทิศตะวันตก หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจนถึงเวลาประมาณ 21.09 น.

 

  • ช่วงเช้า ในวันที่ 18 กันยายน 2566 ปรากฏสว่างเด่น เห็นชัดเจนด้วยตาเปล่าทางทิศตะวันออก ตั้งแต่เวลา 03.25 น. จนถึงดวงอาทิตย์ขึ้น

 

ดาวเคราะห์ใกล้โลก

 

  • ดาวเสาร์ใกล้โลกที่สุดในรอบปี 27 สิงหาคม 2566 ดาวเสาร์จะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามดวงอาทิตย์ (Saturn Opposition) หมายถึง ตำแหน่งที่ดวงอาทิตย์ โลก และดาวเสาร์ เรียงอยู่ในเส้นตรงเดียวกัน มีโลกอยู่ตรงกลาง 

 

ส่งผลให้ดาวเสาร์อยู่ในตำแหน่งใกล้โลกที่สุดในรอบปี ห่างประมาณ 1,310 ล้านกิโลเมตร ในวันดังกล่าว เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ดาวเสาร์จะปรากฏสว่างทางทิศตะวันออก สังเกตได้ด้วยตาเปล่า ตลอดคืนจนถึงรุ่งเช้า

 

  • ดาวพฤหัสบดีใกล้โลกที่สุดในรอบปี 3 พฤศจิกายน 2566 ดาวพฤหัสบดีจะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามดวงอาทิตย์ (Jupiter Opposition) หมายถึง ตำแหน่งที่ดวงอาทิตย์ โลก และดาวเสาร์ เรียงอยู่ในเส้นตรงเดียวกัน มีโลกอยู่ตรงกลาง

 

ส่งผลให้ดาวพฤหัสบดีอยู่ในตำแหน่งใกล้โลกที่สุดในรอบปี  ห่างจากโลกประมาณ 595 ล้านกิโลเมตร ในวันดังกล่าว เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ดาวพฤหัสบดีจะปรากฏสว่างทางทิศตะวันออก สังเกตได้ด้วยตาเปล่า ตลอดคืนจนถึงรุ่งเช้า