แน่นอนว่านอกจากการไปปาร์ตี้ เทศกาลฮาโลวีน แต่งแฟนซีให้เข้ากับบรรยากาศสนุกสนานของ วันปล่อยผี แล้ว หลายคนชอบสร้าง บรรยากาศสยองขวัญ ด้วยการเข้าโรงภาพยนตร์ดูหนังผี หรือมานั่งล้อมวงเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องราวเขย่าขวัญสั่นประสาทที่เคยประสบพบเจอหรือได้ยินได้ฟังมา และนี่คือเรื่องราวของ 10 สถานที่ที่ได้ชื่อว่าน่าขนหัวลุก หากได้ไปเยือน
1.ป้อมปราการบันการ์ (Bhangarh Fort) ประเทศอินเดีย
ตั้งอยู่ในรัฐราชาสถาน ได้รับขนานนามว่า ป้อมต้องคำสาป ความน่ากลัวของที่นี่ รัฐบาลอินเดียห้ามผู้มาเยือนเข้าเยี่ยมชมหลังพระอาทิตย์ตกดิน เรื่องนี้ยึดถือกันเคร่งครัดมากจนทางการต้องติดป้ายไว้หลายจุดในตัวป้อมเพื่อเตือนนักท่องเที่ยว กล่าวกันว่าป้อมปราการแห่งนี้สร้างในรัชสมัยของผู้ปกครองนครแอมเบอร์แห่งยุคศตวรรษที่ 17 นามว่า ราชา มาโธ สิงห์ (Raja Madho Singh)
มีเรื่องเล่า 2 เรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับความลี้ลับของป้อมปราการแห่งนี้ เรื่องแรกเกี่ยวกับนักบวชนามว่า บาบา บาเลา นาถ ท่านผู้นี้มีสำนักถือศีลนั่งสมาธิในบริเวณนี้มาก่อนเก่า ก่อนที่ป้อมปราการจะถูกสร้างขึ้น ต่อมาเมื่อมีการสร้างป้อมปราการ ท่านนักบวชยินยอมให้สร้างป้อมได้โดยมีข้อแม้ว่า เงาของป้อมต้องไม่บดบังทาบทับสำนักของท่าน ต่อมาภายหลังรุ่นหลานของราชาทำการต่อเติมป้อมให้สูงขึ้นโดยไม่ได้ใส่ใจคำสัญญาที่ให้ไว้ ทำให้เงากำแพงป้อมตกใส่สำนักของท่านนักบวช และหลังจากนั้นมา ป้อมดังกล่าวก็ล่มสลายราวต้องคำสาป กลายเป็นป้อมร้างที่น่าสะพรึงยิ่ง
อีกเรื่องราวของป้อม เกี่ยวข้องกับเจ้าหญิงแสนสวย “รัตนาวตี” เธอถูกปองหมายโดยผู้เล่นมนตร์ดำ ชายผู้นี้ทำยาเสน่ห์ใส่ลงในขวดน้ำหอมของเจ้าหญิง แต่นางรู้ทัน จึงนำน้ำหอมที่มียาเสน่ห์นั้นเทลงพื้นหิน ทำให้หินนั้นหลงรักชายผู้เล่นของ เขาถูกหินใหญ่กลิ้งทับตาย แต่ก่อนตายได้สาปแช่งเมืองทั้งเมืองนั้น ทำให้เกิดเหตุอาเพศ เมืองล่มสลาย เจ้าหญิงตายในสงคราม ชาวบ้านหลายคนอ้างว่า เคยได้ยินเสียงประหลาดดังออกมาจากป้อมในช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดิน บางครั้งคล้ายเสียงหัวเราะ บางครั้งเป็นเสียงกรีดร้อง หรือเสียงดนตรี บางคนเห็นเงาคนอยู่ในป้อม
2.เรือนจำเก่า Eastern State Penitentiary แห่งถนนเลขที่ 22 เมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา
ที่นี่เป็นเรือนจำเก่า ใช้เป็นสถานที่กักขังนักโทษ ช่องทางเดินภายในดูมืด โหวงเหวง แต่ละห้องขัง ชวนให้นึกถึงยุคอดีตที่อาชญากรหลายคนต้องมาจบชีวิตลงที่เรือนจำแห่งนี้ ก่อนหน้าจะปิดตัวลงในปี ค.ศ.1971 สถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่จองจำนักโทษและบรรดาอาชญากรของสหรัฐรวมทั้งเจ้าพ่ออัลคาโปน มายาวนานถึง 142 ปี ที่นี่จึงเต็มไปด้วยตำนานแห่งการทรมาน การฆ่าตัวตาย และการเจ็บป่วยปางตาย เรื่องราวความเฮี้ยนและการพบเห็นผีสิงจึงตามมา ช่างทำกุญแจคนหนึ่งเล่าว่า เคยต้องเข้าไปทำงานที่นั่น เขาอยู่คนเดียวทำงานโดยรู้สึกว่าพลังงานบางอย่างจ้องมองอยู่ แต่เมื่อหันไปก็ไม่มีอะไร สุดท้ายก็มีเพียงเงาดำวาบผ่านไป หลายปีที่ผ่านมา เรือนจำเก่าแห่งนี้ดึงดูดนักวิจัยด้านวิญญาณและพลังงานเหนือธรรมชาติ มาศึกษาเก็บข้อมูลและถ่ายทำงานวิจัยอยู่บ่อยครั้ง
3.อาคารเก่าโรงพยาบาลชางงี สิงคโปร์
แค่เห็นจากภายนอกก็ขนลุกได้ นี่คืออาคารเก่าร้างเคยเป็นโรงพยาบาลกลางของประเทศสิงคโปร์ สร้างตั้งแต่สมัยที่สิงคโปร์อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษในปี 1935 ต่อมาสมัยสงครามโลกและกองทัพญี่ปุ่นบุกยึดครองสิงคโปร์ โรงพยาบาลแห่งนี้จึงถูกเปลี่ยนมาใช้เป็นสถานพยาบาลรองรับทหารญี่ปุ่นที่บาดเจ็บและล้มป่วย รวมทั้งพวกเชลยสงคราม บางส่วนของโรงพยาบาลจึงเหมือนสถานกักขังเชลยศึกไปด้วยในตัวภายใต้การดูแลของสารวัตรทหารญี่ปุ่น ดังนั้น จึงมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีของเชลย ทหารที่เสียชีวิต และห้องๆหนึ่งที่มีร่องรอยคราบเลือดบนพื้น รวมทั้งโซ่เส้นใหญ่ที่ห้อยลงมาจากเพดาน ซึ่งดูเหมือนจะถูกใช้สำหรับการทรมานนักโทษหรือเชลยสงคราม
4.โรงแรม Fairmont Banff Springs Hotel ในประเทศแคนาดา
อาคารโรงแรม 4 ดาวสวยงามตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขา โรงแรมที่เรียกชื่อสั้นๆ ว่า “โรงแรมแฟร์มอนต์” แห่งนี้ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Banff National Park ซึ่งได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และยังคงเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวมากว่า 130 ปีแล้ว นี่คือโรงแรมที่ได้ชื่อว่าเป็น “โรงแรมผีสิง” แห่งประเทศแคนาดา แต่ขณะเดียวกันก็เคยมีลูกค้าโรงแรมเป็นคนมีชื่อเสียงระดับโลกมาเข้าพักนักต่อนักแล้ว เช่น เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และมาริลิน มอนโร นักแสดงชื่อดังชาวอเมริกัน เรื่องเล่าสยองขวัญเกี่ยวกับที่นี่มี 2 เรื่อง คือห้องพักหมายเลข 873 ที่กล่าวกันว่ามีคนถูกฆ่าตายยกครอบครัวคือ พ่อ-แม่-ลูกสาว โดยฆาตกรไม่ใช่ใครที่ไหน คือผู้เป็นพ่อนั่นเอง อีกเรื่องเฮี้ยนเกี่ยวกับ “ผีเจ้าสาว” เกิดขึ้นราวปี 1930 เมื่อเจ้าสาวที่เพิ่งแต่งงานตกจากบันไดโค้งของโรงแรมลงมาตาย หลังจากนั้น ก็มีแขกของโรงแรมและพนักงานที่ประสบพบเจอเรื่องแปลกๆ เช่น การเห็นผีเจ้าสาวเดินขึ้นๆลงๆบันได และวิญญาณเต้นรำในห้องจัดเลี้ยง
5.เกาะ Poveglia Island ประเทศอิตาลี
ได้ชื่อว่าเป็น “เกาะผีสิง” หรือ Island of Ghosts เพราะที่นี่เคยถูกใช้เป็นที่ฝังศพของผู้คนจำนวนมาก ในยุคทศวรรษ 1920 มีการก่อสร้างโรงพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตขึ้นที่นี่และว่ากันว่าผู้บริหารดูแลสถานที่เป็นนายแพทย์ที่จิตยิ่งกว่าคนไข้ เพราะเขานำผู้ป่วยโรคจิตมาเป็นหนูทดลองทางการแพทย์อย่างไร้มนุษยธรรม นอกจากนี้ ในยุคอดีตที่มีโรคร้ายระบาดในอิตาลี ผู้ป่วยจำนวนมากถูกส่งมาที่เกาะนี้ ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการจำกัดวงของโรคระบาดแต่ขณะเดียวกัน พวกเขาถูกปล่อยให้ตาย ไร้การรักษา กล่าวกันว่า มีการเผาศพผู้ป่วย 1.6 ล้านคนบนเกาะแห่งนี้ จนกระทั่งมีการเล่าขานว่า 50% ของดินบนเกาะคือเถ้ากระดูกของผู้ป่วยที่มีชีวิตน่ารันทดเหล่านั้นนั่นเอง ปัจจุบัน เกาะแห่งนี้ไม่เปิดรับนักท่องเที่ยว
6.ปราสาท Good Hope แห่งแอฟริกาใต้
ปราสาทแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาคารเก่าแก่ที่สุดของเมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ และมีเรื่องเล่าขานว่านี่คือที่สิงสถิตของดวงวิญญาณคุณหญิงแอนน์ เบอร์นาร์ด (Lady Anne Barnard) แห่งปลายศตวรรษที่ 18 ที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดจนกระทั่งทุกวันนี้
ผู้ไปเยือนปราสาทกู๊ดโฮป เคยมีบางคนได้ยินเสียงฝีเท้าปริศนา เสียงที่แว่วมาจากหน้าต่างและโถงทางเดิน กล่าวกันว่าปราสาทแห่งนี้เคยมีคุกใต้ดิน มีโซ่แขวนบนผนังสำหรับล่ามและทรมานนักโทษ บางคนเคยเห็นหมาดำที่จู่ๆก็ปรากฏตัวแล้วหายไปต่อหน้าต่อตา หรือแว่วเสียงระฆังที่ดังเองโดยไม่มีใครตี
7. โรงแรม Driskill Hotel ในสหรัฐอเมริกา
โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองออสติน สหรัฐอเมริกา ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งโรงแรม ซื้อโดยผู้พันเจสซี ดริสคิล ในปีค.ศ.1886 ด้วยราคา 7,500 ดอลลาร์สหรัฐในยุคนั้น ตัวอาคารเป็นโรงแรมหรูหรา ทั้งพนักงานและแขกที่เข้าพัก ได้พบกับประสบการณ์แปลกอยู่บ่อยครั้ง เช่น กลิ่นยาสูบที่จู่ๆก็ฉุนกึกขึ้นมาทั้งที่ทั่วโรงแรมเป็นพื้นที่ปลอดบุหรี่ บ้างก็มีคนเห็นวิญญาณออกมาจากลิฟต์ และเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กผู้หญิง ว่ากันว่าหนึ่งในผีที่สิงสถิตในโรงแรมแห่งนี้คือ ผู้พันดริสคิล เจ้าของโรงแรมเมื่อครั้งอดีตนั่นเอง เขาเป็นคนที่ชอบสูบซิการ์ ส่วนอีกวิญญาณที่กล่าวกันว่ามีผู้พบเห็นที่โรงแรมแห่งนี้คือ เด็กหญิงซาแมนธา ฮิวสตัน เธอเสียชีวิตที่โรงแรมแห่งนี้ในปี 1887 เมื่ออายุ 4 ขวบ ขณะวิ่งเล่นไล่ลูกบอลและพลัดตกลงมาจากบันไดโรงแรมถึงแก่ความตาย พ่อของซาแมนธาเป็นนักการเมืองท้องถิ่น เขาให้ศิลปินวาดรูปบุตรสาวและแขวนไว้ที่ชั้น 5 ของโรงแรมแห่งนี้ วันดีคืนดีจะมีผู้ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กผู้หญิงและเสียงลูกบอลกระเด้งกับพื้นโรงแรม
8.ปราสาท Château de Brissac ประเทศฝรั่งเศส
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นปราสาทที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศสที่สร้างขึ้นในยุคศตวรรษที่ 10 แต่ที่นี่ก็ได้ชื่อว่าเป็นโรงแรมที่เฮี้ยนที่สุดแห่งหนึ่งเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณสตรีในชุดสีเขียว หรือ Green Lady ตำนานเล่าว่า เธอเป็นสตรีสูงศักดิ์นามชาร์ลอต ถูกฆาตกรรมโดยสามีของเธอเองในปราสาทแห่งนี้ เนื่องจากหลังแต่งงานเธอมีชีวิตสมรสที่ไม่เป็นดั่งหวัง ชาร์ลอตจึงมีสัมพันธ์ลับๆกับชายคนอื่น และในวันที่ถูกจับได้ขณะอยู่กับชู้รักบนเตียง ทั้งเธอและชู้ก็ถูกฆ่าโดยสามีของเธอ ผู้เป็นเจ้าของปราสาทแห่งนี้ หลายคนกล่าวว่า พวกเขายังคงเห็นดวงวิญาณของเธอในห้องโถงต่างๆของปราสาท บ้างก็ว่าใบหน้าของเธอนั้นมีดวงตาและเบ้าจมูกกลวงโบ๋
9. เกาะตุ๊กตาแห่งเมืองเม็กซิโก ซิตี้ ประเทศเม็กซิโก
เกาะที่มีชื่อว่า เกาะแห่งตุ๊กตา หรือ Island of Dolls (หรือ Isla de las Munecas ในภาษาท้องถิ่น) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเม็กซิโก ซิตี้ เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวและใครที่ขวัญไม่แข็งพอก็อย่าไปเลยจะดีกว่า เว็บไซต์ของเกาะเล่าว่า ศพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกพบที่เกาะแห่งนี้ เธอจมน้ำตาย และผู้ดูแลเกาะก็พบตุ๊กตาอยู่แถวนั้น เขาเชื่อว่ามันคงเป็นตุ๊กตาของเด็กหญิงเคราะห์ร้ายคนนั้น จึงนำตุ๊กตามาแขวนไว้กับต้นไม้ในป่าเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้จากไป แต่หลังจากนั้น ก็มีเรื่องเล่าต่อ ว่าเขาถูกวิญญาณเด็กเข้าสิง จึงหาตุ๊กตามาผูกห้อยไว้กับกิ่งของต้นไม้บนเกาะ มากขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ เพื่อให้วิญญาณของเด็กน้อยพอใจ จนกระทั่งมีตุ๊กตาแขวนอยู่ตามกิ่งไม้ เห็นแล้วชวนหลอนเต็มไปหมดทั่วทั้งเกาะ
10. ป่าอะโอกิฮารา (Aokigahara Forest) ประเทศญี่ปุ่น
เข้าป่ากันต่อ และคราวนี้เป็นป่าสุดยะเยือกแห่งประเทศญี่ปุ่น มีชื่อเรียกว่า ป่าอะโอกิฮารา หรือเป็นที่รู้จักอีกชื่อในนาม “ป่าปลิดวิญญาณ” หรือป่าฆ่าตัวตาย (Suicide Forest) โลเกชั่นคือเชิงภูเขาไฟฟูจิอันเลื่องชื่อนั่นเอง สำนักข่าวบีบีซี สื่อใหญ่ของอังกฤษเคยรายงานไว้ว่า นับตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา มีคนมาฆ่าตัวตายในป่าแห่งนี้แล้วมากกว่า 500 ราย บางคนก็พยายามอธิบายว่า เพราะใต้ดินของป่าแห่งนี้มีแหล่งแร่เหล็กขนาดใหญ่ ซึ่งส่งผลรบกวนทำให้เข็มทิศของนักเดินทางผิดเพี้ยนไป และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า พวกเขาถูกทำให้หลงทาง หลงป่า และต้องจบชีวิตลงในป่าดังกล่าว แต่บางคนก็บอกว่า ป่าในญี่ปุ่นมีดวงวิญญาณซึ่งทำให้บางคนถูกล่อลวงหลงเดินเข้าไปและไม่สามารถหาทางออกมาได้อีกเลย