บล.ทรีนิตี้ มองตลาดหุ้นไทยปี 62 "ปีหมูทองของการลงทุน" หลังเฟดชะลอปรับขึ้นดอกเบี้ย ค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่า หนุนฟันด์โฟลไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคตาม Search For Yield เผย ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยสูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ ที่ระดับ 4.7% SET Index มีโอกาสแตะ 1800 จุด
[caption id="attachment_376067" align="aligncenter" width="286"]
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล[/caption]
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินทิศทางเศรษฐกิจโลกปีนี้ ว่า เข้าสู่ภาวะอิ่มตัวไปแล้ว (Maturing Phase) และกำลังเข้าสู่การชะลอตัว โดยการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโต 3.8% และเศรษฐกิจโลกเติบโต 3.5% และจากความกังวลผลกระทบสงครามทางการค้าจีน-สหรัฐฯ เศรษฐกิจโลกชะลอ ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้เพียง 1 เดียว หรือคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% ขณะที่ ดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มว่า ภายในครึ่งแรกปีนี้ยังยืนที่ระดับ 1.75%
"เศรษฐกิจโลกได้ผ่านจุดพีคมาแล้วเมื่อปี 2561 เติบโต 3.7 และปีนี้คาดจะโต 3.5% ส่วนปีหน้าคาดว่าจะโตในอัตราชะลอมาอยู่ระดับ 3.3% เช่นเดียวกับดอกเบี้ยเฟดที่อาจจะเห็นการปรับลงในปีหน้า ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นตาม Search For Yield นักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นไทยน้อยลง"
นอกจากนี้ จากการที่การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยและตราสารหนี้โลกปีนี้ เริ่มให้ผลตอบแทนที่น้อยลง หรือ อาจจะติดลบ เมื่อ Mark to Market จึงทำให้ตลาดหุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยคาดว่า เงินทุนเคลื่อนย้าย หรือ Fund Flow จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ TIP ( ไทย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์) เนื่องจากค่าเงินในภูมิภาคนี้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นและเศรษฐกิจเติบโตสูงกว่าภูมิภาคอื่น ขณะที่ การถือหุ้นของต่างชาติอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำ โดยตลาดหุ้นไทย ต่างชาติถือหุ้นสัดส่วน 29% เกือบต่ำสุดในรอบ 14 ปี และนับตั้งแต่ต้นปี 2562 นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิพันธบัตรไทยอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ขายในตลาดหุ้นไทย 1.8 พันล้านบาทนั้น ถือว่าเริ่มขายน้อยลง จากที่ทั้งปี 2561 ขายสุทธิประมาณ 2.86 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ การลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกประมาณ 1-4% อาทิ น้ำมันเฉลี่ย ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 3.9%, หุ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ให้ผลตอบแทน 3.6%, หุ้นในกลุ่ม TIP ผลตอบแทนประมาณ 3.5% ขณะที่ หุ้นไทยให้ผลตอบแทนแล้วเฉลี่ย 1.9%
นายวิศิษฐ์ มองตลาดหุ้นไทยปี 2562 มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยพื้นฐานเป้าหมายที่ Forward PE ที่ 15.6 เท่า หรือที่ SET Index ระดับ 1,800 จุด โดยการแกว่งตัวของ SET Index ในปี 2562 คาดจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,500–1,800 จุด โดยประเมิน SET Index ที่ระดับ 1,500 เป็นระดับ Forward PE ที่ 13 เท่า และมองว่า ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยจะสูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ 10 ปี ที่ระดับ 4.7% จึงถือเป็นจุดที่น่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับ 3 ในรอบ 4 ปี โดยเดือน ม.ค. ปี 2560 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ 5.49% และปี 2558 ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 4.74%
บล.ทรีนีตี้ ยังได้แนะการลงทุนในหุ้นกลุ่มปันผลสูง High Dividend Stock โดยลงใน 5 หุ้นเด่น ระยะเวลาเพียง 4 เดือน (เดือน ม.ค. ถึง เม.ย.) ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า จากสถิติ 8 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา การลงทุนลักษณะดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% (ด้วยความเชื่อมั่น 90%)
"บริษัทมีบริการ Trinity Smart Wealth ซึ่งเป็นโปรดักซ์การลงทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามตลาดและไม่สะดวกในการหาข้อมูลลงทุน รวมทั้งเฝ้าราคาหาจังหวะเข้าซื้อและขายหุ้นด้วยตัวเอง โดยเราจะมีทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์ทรีนิตี้ ช่วยเลือกหุ้น 5 ตัวเข้าพอร์ต เช่น ตัวอย่างที่ลงใน SCC, PTT, ADVANC, BBL, KTB พบว่า ได้ให้ผลตอบแทนล่าสุด เฉลี่ยอยู่ที่ 1.5% สูงกว่าดัชนีหุ้นไทยที่เฉลี่ยอยู่ที่ 1.2%"