เริ่มแล้วมาตรการเพิ่มเติมสินเชื่อฟื้นฟู มีผลตั้งแต่วันนี้ 3ก.ย.64

03 ก.ย. 2564 | 03:12 น.

แบงก์ชาติ-สมาคมธนาคารไทย เร่งช่วยเหลือลูกหนี้ตามมาตรการเพิ่มเติมที่มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 3กันยายน 2564-สถาบันการเงินสามารถยื่นคำขอในวันที่ 6ก.ย.เป็นต้นไป

แบงก์ชาติ-สมาคมธนาคารไทย เร่งช่วยเหลือลูกหนี้ตามมาตรการเพิ่มเติมที่มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่ 3ก.ย. สถาบันการเงินยื่นคำขอในวันที่ 6ก.ย.64 -ขณะยอดอนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูคืบหน้า  98,316 ล้านบาทจำนวน 32,025รายคงเหลือวงเงิน 1.5แสนล้านบาท ส่วนธุรกิจเข้ามาตรการพักหนี้ 82รายมูลค่า11,697ล้านบาท

เริ่มแล้วมาตรการเพิ่มเติมสินเชื่อฟื้นฟู มีผลตั้งแต่วันนี้ 3ก.ย.64

ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศมาตรการเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564 สนับสนุน การช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ได้อย่างยั่งยืน เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบให้กับลูกหนี้ได้มากขึ้น

ในสถานการณ์ที่ยังต้องเผชิญกับภาวะการระบาดของโควิด-19 โดยมาตรการเพิ่มเติมดังกล่าวประกอบด้วยการรักษาสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้กับลูกหนี้ SMEs และลูกหนี้รายย่อย รวมถึงมาตรการสนับสนุนการแก้ไขหนี้เดิมอย่างยั่งยืน มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2564

เริ่มแล้วมาตรการเพิ่มเติมสินเชื่อฟื้นฟู มีผลตั้งแต่วันนี้ 3ก.ย.64

นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า สินเชื่อฟื้นฟูคืบหน้า  98,316 ล้านบาทจำนวนธุรกิจได้รับความช่วยเหลือ 32,025ราย(เมื่อวันที่ 30ส.ค.64) ส่วนมาตรการพักทรัพย์พักหนี้มีธุรกิจเข้าร่วมแล้ว 82รายมูลค่าสินทรัพย์ 11,697ล้านบาท โดยมีวงเงินคงเหลือประมาณ 1.5แสนล้านบาท

ธปท. และสมาคมธนาคารไทย มุ่งหวังว่ามาตรการที่ปรับใหม่ จะทำให้ลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลืออย่างตรงจุด ทันการณ์ และได้ผลจริงอย่างยั่งยืน สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์และผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ดังนั้น ลูกหนี้ SMEs และรายย่อย ที่ต้องการเพิ่มสภาพคล่องและแก้ไขหนี้เดิม สามารถติดต่อผู้ให้บริการทางการเงินที่ใช้บริการอยู่เพื่อรับความช่วยเหลือได้แล้ว และหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อผ่านผู้ให้บริการทางการเงินโดยตรง หรือศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.)  โทร 1213

 

 

 “มาตรการแก้ไขหนี้เดิม และเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ SMEs และรายย่อย ถูกปรับให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นและสถานการณ์ที่ยืดเยื้อ เพื่อช่วยลูกหนี้ที่ยังได้รับผลกระทบหนักให้สามารถบริหารจัดการสภาพคล่องผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้ และต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมของทั้งกับลูกหนี้และเจ้าหนี้ โดยไม่สร้างแรงจูงใจที่ไม่เหมาะสม (moral hazard) เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิผล โดยลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจริงก็ควรได้รับความช่วยเหลือในรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามสถานะของลูกหนี้แต่ละราย ทั้งนี้ ธปท. จะร่วมกับสมาคมธนาคารไทยในการเร่งรัดและติดตามการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด”นายรณดลกล่าว

เริ่มแล้วมาตรการเพิ่มเติมสินเชื่อฟื้นฟู มีผลตั้งแต่วันนี้ 3ก.ย.64

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า “ธนาคารสมาชิกพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งรายย่อยและ SMEs ตามมาตรการเพิ่มเติมของ ธปท. ทั้งในเรื่องของการเพิ่มสภาพคล่องหรือแนวทางการช่วยเหลือโดยการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถแก้ปัญหาในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน

ขณะนี้เมื่อทางสถาบันการเงินรับทราบรายละเอียดของมาตรการต่าง ๆ ที่ ธปท.ประกาศออกมาแล้ว สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะจัดทำทางเลือกการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้แต่ละกลุ่ม (Product program) ให้สอดคล้องกับปัญหาและสถานะของลูกหนี้ และติดตามดูแลช่วยเหลือลูกหนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ธนาคารยังเป็นกลไกสำคัญและมีกำลังไปช่วยลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างเพียงพอและทั่วถึง และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ในระยะต่อไป

ทั้งนี้ ธนาคารได้รีบเตรียมความพร้อมภายในรวมถึงสื่อสารพนักงานสาขา ซึ่งทางลูกหนี้สามารถติดต่อธนาคารเพื่อเริ่มเตรียมการเบื้องต้นก่อน ขณะนี้ ทั้งแผนการจัดหาวัคซีนที่ครอบคลุมประชาชนมากขึ้น แนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ค่อย ๆ ดีขึ้น แม้กระทั่งการส่งออกที่ได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจโลก ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อไปนี้     ก็หวังว่าการแก้ปัญหาและช่วยเหลือลูกหนี้ในครั้งนี้จะทำให้ลูกหนี้กลับมายืนและทำธุรกิจได้ต่อไป”

 

มาตรการรักษาสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้กับลูกหนี้ SMEs และรายย่อย เพื่อให้สามารถหล่อเลี้ยงธุรกิจและเพียงพอต่อการดำรงชีวิต ได้แก่

1)การปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อฟื้นฟูสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อกว่าคาดและยังมีความไม่แน่นอนสูง เพื่อช่วยให้บางกลุ่มที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟู มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือมากขึ้น ได้แก่ 

 (1.1) ขยายวงเงินสินเชื่อให้แก่ SMEs ที่เดิมมีวงเงินสินเชื่อเดิมต่ำ หรือไม่มีวงเงินกับสถาบันการเงิน เพราะใช้เงินทุนส่วนตัวหรือรายได้ของบริษัทในการประกอบธุรกิจเป็นหลัก

(1.2) เพิ่มการค้ำประกันและปรับลดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้กับลูกหนี้กลุ่มเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็น micro-SMEs และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ เพื่อเอื้อให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อแก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางได้มากขึ้น

ทั้งนี้ สถาบันการเงินสามารถยื่นคำขอสินเชื่อฟื้นฟูมายัง ธปท. ตามหลักเกณฑ์ข้างต้นได้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2564

2) การผ่อนปรนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสินเชื่อลูกหนี้รายย่อยเป็นการชั่วคราว ในส่วนของบัตรเครดิต สินเชื่อ    ส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ และสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล เพื่อลดภาระการจ่ายชำระหนี้ ตลอดจนเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2564 จนถึงสิ้นปี 2565 โดย

(2.1) ขยายเพดานวงเงินเป็น 2 เท่าของเงินเดือน สำหรับบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล กรณีผู้มีรายได้  ต่ำกว่า 30,000 บาท นอกจากนี้ สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล ผู้กู้สามารถขอสินเชื่อได้โดยไม่จำกัดจำนวนผู้ให้บริการ

(2.2) คงอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ถูกปรับลดลงในช่วงการแพร่ระบาดก่อนหน้าเหลือร้อยละ 5 ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2565 และ

(2.3) ขยายเพดานวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลจากรายละไม่เกิน 20,000 บาท เป็น 40,000 บาท และขยายระยะเวลาการชำระคืนจากไม่เกิน 6 เดือน เป็น 12 เดือน

 

มาตรการแก้ไขหนี้เดิมอย่างยั่งยืน เพื่อให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบด้วยการปรับโครงสร้างหนี้แบบระยะยาวอย่างตรงจุดและเหมาะสมกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละราย โดยกำหนดการจ่ายหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลงมากของลูกหนี้ และทยอยจ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อรายได้เริ่มกลับมา รวมทั้งต้องเร่งช่วยลูกหนี้ ให้ได้จำนวนมากและเร็ว โดย ธปท. ได้ผ่อนคลายหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองที่เกี่ยวข้องตามความเข้มข้นของความช่วยเหลือ เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ข้างต้น ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2564