เพิ่งจะเขยิบขึ้นมานั่งในตำแหน่งเอ็มดี สำหรับพิชิตจันทรเสรีกุล กรรมการผู้จัดการ ของบริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด(มหาชน) หรือ KCARผู้ประกอบธุรกิจรถให้เช่า“กรุงไทย คาร์เร้นท์” และจำหน่ายรถมือสอง โตโยต้าชัวร์ ในนาม บริษัทกรุงไทยออโตโมบิล จำกัด ซึ่งภายใต้การดำเนินงานของเอ็มดีคนใหม่ จะไปในทิศทางไหน“ฐานยานยนต์” ร่วมสัมภาษณ์
ทิศทางการทำธุรกิจ
หลังจากเข้ามารับหน้าที่แทนพี่ชายอย่างคุณพิเทพ จันทรเสรีกุล ที่ขึ้นไปดำรงตำแหน่งประธานบริษัท ตนเองจึงเตรียมเดินหน้าต่อยอดกลยุทธ์ที่ได้ประกาศไปตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่ส่วนงานรถเช่า ที่จะมีการควบคุมต้นทุน และกลยุทธ์ราคา ,การเจาะเข้าหากลุ่มลูกค้าฟลีต ,การเพิ่มช่องทางการขาย เจาะกลุ่มเอสเอ็มอี ส่วนแผนงานด้านรถมือสองเตรียมจะขยายสาขาใหม่ ในช่วงไตรมาส 4 พร้อมทั้งให้ความสำคัญเรื่องออนไลน์ และการประมูล ขณะที่เม็ดเงินลงทุนในปีนี้ของทั้ง 2 บริษัทคาดว่าจะใช้ทั้งหมด 1,500 ล้านบาท
แผนกรุงไทยคาร์เร้นท์
เป้าหมายในปีนี้ต้องการเติบโต 5% โดยชูกลยุทธ์ด้านราคา ให้แข่งขันได้ เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีการรัดเข็มขัดเพื่อลดต้นทุน ทำให้บริษัทต้องพยายามทำราคาให้ลูกค้าพึงพอใจ ขณะที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายยังคงเป็นลูกค้าองค์กรหรือฟลีต ซึ่งถือเป็นตลาดที่ยังมีช่องว่างให้เจาะ
ปัจจุบันบริษัทมีพอร์ทรถเช่าจำนวนกว่า 7,000 คัน ส่วนฐานลูกค้ามีจำนวนกว่า 1,000 ราย และเพิ่มขึ้น 50 -100 รายในแต่ละปี ล่าสุดบริษัทฯ ได้ลูกค้ารายใหญ่ คือ เครือ SCG และ TOT ด้านสัดส่วนการให้บริการรถเช่า แบ่งออกเป็น รถเช่าระยะยาว หรือป้อนให้กับลูกค้าฟลีตคิดเป็น 98 % และลูกค้าระยะสั้น 2%
การแข่งขันธุรกิจรถเช่า
มูลค่าสินทรัพย์ในธุรกิจรถเช่าของประเทศไทยปี 2558 พบว่ามีจำนวน 46,900 ล้านบาท และมีการเติบโตเฉลี่ย 5%ในแต่ละปี ซึ่งการแข่งขันในตลาดนี้ก็ค่อนข้างที่จะดุเดือด และผู้ประกอบการรายย่อมเริ่มจะหายไป เนื่องจากต้องแข่งขันทั้งด้านราคา และคุณภาพในการให้บริการ
แผนงานรุกรถมือสอง
เรามีโชว์รูมรถมือสอง “โตโยต้าชัวร์ “3แห่งได้แก่ รามอินทรา กม.9 ,ศรีนครินทร์ ,กาญจนาภิเศก และในไตรมาสที่ 4 เตรียมจะเปิดสาขาวงแหวนกาญจนาภิเศก โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 40 ล้านบาท และเมื่อรวมกับการค่าที่ดินและค่าดำเนินงานทั้งหมดคาดว่าจะอยู่ที่ 150 ล้านบาท และในอนาคตเตรียมจะขยายเพิ่มในเขตกรุงเทพ นอกจากแผนงานขยายแล้ว ในแง่ของการตลาดแบบออนไลน์ รวมไปถึงเพิ่มช่องทางประมูลก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่บริษัทได้เริ่มดำเนินการ
ประเมินตลาดมือสอง
ตลาดมือสองตามปกติ จะมีขนาดที่ใหญ่กว่ารถใหม่ประมาณ 2-3 เท่า และในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 3% โดยแนวโน้มของตลาดดีกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากไฟแนนซ์มีการผ่อนผันมากขึ้น ไม่เข้มงวดเหมือนปีก่อน โดยสังเกตจากยอดจัดหรือการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ ที่ทำให้ลูกค้าไม่ต้องใช้เงินดาว์นสูงมากนัก ชณะที่ผู้ประกอบการที่จำหน่ายมีการทำงานง่ายขึ้น ส่วนรถมือสองที่ได้รับความนิยมได้แก่ กลุ่มบี-คาร์ เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร ด้านรถยนต์นั่งขนาดกลาง เป็นกลุ่มที่ราคามีความผันผวนมาก
เป้าหมายรายได้ในปีนี้
บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ยปีละ 5 -10% และในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ 2,100 ล้านบาท เติบโตเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 2,000 ล้านบาท เฉพาะยอดขายรถมือสองจากโตโยต้าชัวร์ คาดว่าจะทำได้ 2,400 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขายได้ 2,200 คัน ส่วนรายได้จากรถมือสองในปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 40% ,ธุรกิจรถเช่า 50% และอื่นๆ10% โดยในอนาคตสัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจรถมือสองจะเพิ่มขึ้นและมากกว่าธุรกิจรถเช่า
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,257
วันที่ 30 เมษายน - 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2560