ปิดฉากเรียบร้อยสำหรับศึก “โมโตจีพี” สนามที่ 15 ในรายการ “พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2019” จัดระหว่าง 4-6 ตุลาคม ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ และเต็งหนึ่ง “มาร์ค มาร์เกซ” ยอดนักบิดชาวสเปน จากทีมเรปโซล ฮอนด้า ผ่านธงตราหมากรุกเป็นคนแรก ตามด้วยดาวรุ่ง “ฟาบิโอ กวาตาราโร” จากทีมปิโตรนาส ยามาฮ่า เอสอาร์ที และอันดับ 3 ตกเป็นของสุดหล่อ“มาเวริค บีญาเลส” จากทีมมอนสเตอร์ อีเนอร์จี ยามาฮ่าโมโตจีพี
“มาร์ค มาร์เกซ” นอกจากจะคว้าแชมป์สนามนี้แล้ว ยังส่งผลให้เขากลายเป็นแชมป์โลกพรีเมียร์คลาสสมัยที่ 6 และครองแชมป์โลกทุกคลาสรวม 8 สมัย โดยคะแนนทิ้งห่างอันดับ 2 “อันเดรีย อาวิซิโอโซ่” ทีมดูคาติ แบบยังไม่จบฤดูกาลแข่งขัน(เหลืออีก 4 สนาม)
เบื้องหลังความสำเร็จของนักแข่งทุกคน นอกเหนือจากความพร้อมของทีมงานที่ทำงานกันอย่างเต็มที่, รถที่ใช้เข้าร่วมแข่งยังต้องผิดพลาดให้น้อยที่สุด และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญนั่นคือ “ยาง” โดยผู้สนับสนุนหลักในการแข่งขันโมโตจีพี คือ “มิชลิน” ที่ช่วยซัพพอร์ตให้ทั้งรุ่นโมโตทู และ โมโตจีพี
สำหรับ มิชลิน เข้ามาสนับสนุนในรายการโมโตจีพีตั้งแต่ปี 20 16-2020 ซึ่งหน้าที่หลักคือการพัฒนาล้อยางให้เหมาะสมกับการแข่งขันในสนามต่างๆ และยางมิชลินที่ยกขบวนมาสนาม 15 ประเทศไทยถูกขนมาเต็มพิกัด โดยมีทั้งหมดกว่า 1,400 เส้น แต่จะใช้จริงประมาณ 900 เส้น
ส่วนยางที่มิชลินนำมาใช้ในโมโตจีพีครั้งนี้อยู่ในกลุ่ม Power range ได้แก่ Power cup evo, Power slick evo และ Power rain โดยจะมี 3 สูตรให้เลือกคือ ชอร์ฟ มีเดียม ฮาร์ด
นอกจากจะพัฒนายางขึ้นมาโดยเฉพาะแล้ว มิชลินยังนำประสบการณ์จากปีที่ผ่านมา มาปรับและพัฒนาเพื่อให้เหมาะสมกับสนามแข่งในปีนี้ โดยในปี 2018 เหล่านักแข่งเลือกใช้เนื้อยางที่นิ่มไปเมื่อต้องเจอกับอุณหภูมิของสนามที่สูงทำให้หน้ายางหมดไว ดังนั้นปีนี้จึงพัฒนาและเลือกใช้เนื้อยางที่มีความแข็งขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเพื่อจะวิ่งได้ยาวขึ้น
นักแข่งเกือบทุกคนเลือกใช้ยางหน้าเป็นยางฮาร์ด คอมพาวด์ ส่วนยางหลังจะเลือกใช้ยางซอฟต์ มีนักแข่งเพียงแค่คนเดียวเลือกใช้ยางหน้าเป็นมีเดียมนั่นก็คือฮอร์เก้ ลอเรนโซ และผลจากการเลือกยางที่เหมาะสมกับสภาพสนาม ทำให้นักแข่งได้ใช้ความเร็วแบบเต็มที่
ไม่เพียงเท่านั้นสูตรยางใหม่ยังทำให้สถิติสนามถูกทำลายลงไปด้วยฝีไม้ลายมือของนักแข่งหนุ่ม “ฟาบิโอ กวาตาราโร” ที่สามารถครองตำแหน่งโพล โพซิชัน ตามมาด้วย มาเวอริค บีญาเลส และ มาร์ค มาร์เกซ อันดับ 3
มิชลินมีทีมงานจำนวน 20 คน แบ่งออกเป็นช่างถอดล้อ 11 คน และมีวิศวกรที่จะเข้าไปประจำในแต่ละทีมคอยให้ข้อมูลต่างๆสำหรับการเลือกใช้ยาง 7 คน และอีก 2 คนจะเป็นผู้บริหารที่คอยดูแลประสานงาน ทำให้มิชลินมีข้อมูลการใช้ยางของนักแข่งแต่ละคนครบถ้วน
“เราพัฒนายาง 2 ข้างที่มีคุณลักษณะที่แตกต่างกันเพราะสนามช้างจะมีโค้งขวาอยู่ 7 โค้ง โค้งซ้าย 5 โค้ง ขณะที่การออกแบบยางที่ใช้ในสนามนี้จะไม่เหมือนประเทศอื่นๆ ยกเว้นที่ออสเตรียที่ใช้เหมือนกัน เพราะสภาพอากาศที่ร้อนมาก ส่วนสนามเซปัง มาเลเซีย นั้นจะใช้ยางเหมือนในสนามอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการออกแบบสนามแต่ละแห่งด้วย โดยใน 1 สนาม มิชลินให้ยาง ต่อ 1 คัน ประกอบไปด้วย ยางฝน หน้า 5 หลัง 6, ยาง slick หน้า 10 หลัง 13” นายปิเอโร ทารามัสโซ ผู้จัดการฝ่ายมอเตอร์สปอร์ตผลิตภัณฑ์สองล้อ มิชลิน กล่าว
มิชลินถือเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง และเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่ช่วยสร้างความสำเร็จให้กับนักแข่งและทีมในการคว้าชัยมาครอง ส่วนผู้บริโภคทั่วไปมีโอกาสได้ใช้ผลิตภัณฑ์อันยอดเยี่ยมที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากสนามแข่งเช่นกัน
หน้า 28-29 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,512 วันที่ 10 - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2562