Aston Martin Works ทีมงานขั้นเทพ ฟื้นตำนานสปอร์ตคาร์ระดับโลก

11 ม.ค. 2563 | 03:25 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ม.ค. 2563 | 02:39 น.

การไปเยือนสหราชอาณาจักรช่วงปลายปีที่แล้ว นอกจากผมจะได้ลองขับ "แอสตัน มาร์ติน" ทั้ง DBS DB11 แวนเทจ และไปร่วมการเปิดโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ที่ เซนต์ เอเธนส์, เวลส์ พร้อมเจอตัวเป็นๆของเอสยูวี DBX ที่เตรียมขึ้นสายการผลิตไตรมาสแรกปีนี้

อีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจคือ การไปเยือนโชว์รูม-ศูนย์บริการ “แอสตัน มาร์ติน เวิร์กส์” (Aston Martin Works) ที่ Newport Pagnell ล่าสุดถูกเพิ่มบทบาทให้เป็นฐานการผลิตรถสปอร์ตระดับตำนานของอังกฤษอีกครั้ง หลังบอร์ดบริหารเปิดโปรเจ็กต์ Continuation นำรถรุ่นดังในอดีตกลับมาผลิตใหม่ ประเดิมด้วย DB4 และ DB5

ก่อนที่ แอสตัน มาร์ติน ลากอนด้า จะย้ายทุกอย่างไปที่เกย์ดอน ในอดีตย่าน Newport Pagnell เคยมีตึกที่เป็นสำนักงานใหญ่และโรงงานที่เป็นฐานการผลิต โดยตั้งแต่ปี 1955-2007 ผลิตรถรวม 13,300 คัน แน่นอนว่าสปอร์ตคาร์ระดับตำนานทั้ง 2 รุ่นที่กล่าวมา ถูกสร้างขึ้น ณ ที่แห่งนี้

Aston Martin Works ทีมงานขั้นเทพ ฟื้นตำนานสปอร์ตคาร์ระดับโลก

ปัจจุบัน “แอสตัน มาร์ติน เวิร์กส์” เป็นหนึ่งในหน่วยธุรกิจของ แอสตัน มาร์ติน ลากอนด้า มีภารกิจด้านหนึ่งเหมือนดีลเลอร์ทั่วไปคือ ขายรถใหม่ ซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนรถใช้แล้ว พร้อมเป็นศูนย์ซ่อมบำรุง ดูแลรักษารถยนต์แอสตัน มาร์ติน ที่ดีที่สุดในโลก

ประมาณว่า รถเก่า รถคลาสสิก รุ่นไหนในโลกมีปัญหาทางเทคนิค หรืออยากเปลี่ยนแปลงอะไร ตกแต่งแบบไหน สามารถจบทุกเรื่อง ณ ที่แห่งนี้ ด้วยทีมที่ปรึกษาและทีมช่างมืออาชีพระดับเอตทัคคะ พร้อมความรู้และข้อมูลของรถทุกคันมีเก็บไว้หมด (ในการเยี่ยมชมห้ามถ่ายรูป เพราะรถบางคันถือเป็นความลับของลูกค้า)

แน่นอนว่าศักยภาพนี้ถูกตอกยํ้าด้วยการมอบหมายให้ “แอสตัน มาร์ติน เวิร์กส์” ผลิตรถยนต์คลาสสิกขึ้นมาใหม่ด้วยมือคนล้วนๆ

โปรเจ็กต์ Continuation ของแอสตัน มาร์ติน เริ่มจากการฟื้น DB4 GT Zagato ให้กลับมาโลดแล่นใหม่ หลังเคยผลิตจำนวนจำกัดแค่ 19 คันในช่วงปี 1960-1963

DB4 GT Zagato Continuation วางเครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาด 4.7 ลิตร (รุ่นดั้งเดิม 6 สูบ 3.7 ลิตร) ประณีตตั้งแต่การขึ้นรูปตัวถัง งานสี วัสดุตกแต่งภายใน ใส่โรลบาร์ด้านท้าย โดยรถ 1 คันจะใช้เวลาผลิตรวม 4,500 ชม. และทำขึ้นมาใหม่ในจำนวนเท่าเดิมคือ 19 คัน เริ่มส่งมอบให้ลูกค้าคนแรกตั้งแต่ปลายปี 2562

อย่างไรก็ตาม คุณไม่อาจจะซื้อรถสปอร์ตระดับตำนานคันนี้เพียงคันเดียวได้ แต่เขาจะขายพ่วงกับรถใหม่ที่ผลิตจำนวนเท่ากัน คือ DBS Superleggera GT Zagato ด้วยราคาแพ็กคู่ 6 ล้านปอนด์ ( 240 ล้านบาท) นั่นหมายถึงเป็นการขายรถที่ราคาสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของค่ายนี้

ส่วนปีหน้าจะเนรมิต DB5 รถรุ่นดังของสายลับ เจมส์ บอนด์ (ที่หลายพระเอก,หลายภาคเคยใช้) ขึ้นมาขายใหม่เช่นกัน

Aston Martin Works ทีมงานขั้นเทพ ฟื้นตำนานสปอร์ตคาร์ระดับโลก

Aston Martin Works ทีมงานขั้นเทพ ฟื้นตำนานสปอร์ตคาร์ระดับโลก

Aston Martin Works ทีมงานขั้นเทพ ฟื้นตำนานสปอร์ตคาร์ระดับโลก

Aston Martin Works ทีมงานขั้นเทพ ฟื้นตำนานสปอร์ตคาร์ระดับโลก

Aston Martin Works ทีมงานขั้นเทพ ฟื้นตำนานสปอร์ตคาร์ระดับโลก Aston Martin Works ทีมงานขั้นเทพ ฟื้นตำนานสปอร์ตคาร์ระดับโลก Aston Martin Works ทีมงานขั้นเทพ ฟื้นตำนานสปอร์ตคาร์ระดับโลก

แต่ทั้งหมดทั้งปวง ในโปรเจ็กต์ Continuation เป็นรถที่จดทะเบียนไม่ได้ อยากขับต้องวิ่งในสนามแข่ง หรือถนนส่วนตัวภายในหมู่บ้านหรือคฤหาสน์ของท่านเท่านั้น เว้นแต่ท่านจะตีมึนนำออกมาขับบนท้องถนนสาธารณะ ซึ่งจากการเปิดเผยอย่างไม่เป็นทางการของแอสตัน มาร์ติน เชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหา เพราะลูกค้าบางคนเป็นถึงระดับเจ้าของประเทศ

“อย่างที่ทราบกันว่ารถคลาสสิกได้รับความนิยมมาก และราคาประมูลหรือการซื้อขายในตลาดมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งรถหลายรุ่นของแอสตัน มาร์ติน ที่ผลิตจำนวนจำกัด ต่างเป็นที่ต้องการ ดังนั้นเราทุกคนที่นี่จึงรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์กับการสร้าง new old cars ขึ้นมาใหม่ ที่ Newport Pagnell ซึ่งพนักงานบางคนที่ทำงานกับเราในปัจจุบัน ปู่ของเขาเคยเป็นหนึ่งในพนักงานของแอสตัน มาร์ติน ที่ผลิต DB4 มาก่อน” Paul Spires ประธาน แอสตัน มาร์ติน เวิร์กส์ กล่าว

 

Paul Spires

Aston Martin Works ทีมงานขั้นเทพ ฟื้นตำนานสปอร์ตคาร์ระดับโลก

...ถือเป็นการทำธุรกิจที่น่าชื่นชมของแบรนด์รถยนต์ที่ล้มลุกคลุกคลาน เปลี่ยนมือเจ้าของมาหลายสมัย (ปัจจุบันเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของอังกฤษ) และผมเชื่อว่าเราจะได้เห็นโปรเจ็กต์ใหม่ๆ และโปรดักต์ที่น่าตื่นตาตื่นใจตามออกมาในอนาคต

สำหรับ “แอสตัน มาร์ติน” พยายามทำสิ่งที่ตนเองถนัดคือ ขายความพิเศษเฉพาะตัว บนความประณีต ใส่ใจในทุกรายละเอียดตามแบบฉบับรถแฮนด์เมด พร้อมความภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ ส่วนขุมพลังหากพัฒนาเองต้องใช้ต้นทุนสูง ซึ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ยุคใหม่ที่อาศัยการพึ่งพา-แลกเปลี่ยน ตลอดจนการใช้ชิ้นส่วนร่วมกันถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายแบบไม่ขัดเขิน เราจึงเห็นการนำเครื่องยนต์ วี 8 เทอร์โบคู่ ของเมอร์เซเดส เอเอ็มจี มาใช้ และในอนาคตที่ไม่ไกลจากนี้ ยังมีโอกาสเห็นระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ากับรถระดับตำนานของอังกฤษแน่นอน

ปัจจุบันแอสตัน มาร์ติน ผลิตรถยนต์ที่โรงงานในเมืองเกย์ดอนตอนกลางของอังกฤษ และเพิ่งเปิดโรงงานใหม่ที่เวลส์อย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นฐานผลิตแห่งที่ 3 ต่อจาก Newport Pagnell ส่วนยอดขายรวมทั่วโลกประมาณ 6,000 คันต่อปี แต่หลังการมาของ DBX (เริ่มส่งมอบไตรมาสที่ 2 ของปี 2563) ซีอีโอ “แอนดี้ พาลเมอร์” ตั้งความหวังว่าเอสยูวีรุ่นนี้จะขายได้ถึง 4,000-5,000 คันต่อปี พร้อมมุ่งกลุ่มเป้าหมายไปที่ลูกค้าผู้หญิงมากขึ้น 

โดย : กรกิต กสิคุณ

หน้า 28-29 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ  ฉบับที่ 3,538 วันที่ 9 - 11 มกราคม พ.ศ. 2563