ราคาหุ้น บริษัทโตโยต้า คอร์ป ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่น พุ่งขึ้น 4.29% สู่ระดับ 156.00 ดอลลาร์ ณ เวลา 18.44 น. เมื่อวันอังคาร (13 มิ.ย.) ตามเวลาไทย หลังโตโยต้าเปิดเผยว่า บีอีวี แฟคทอรี (BEV Factory) ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่มีการจัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนพ.ค. จะทำการผลิต รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จำนวน 1.7 ล้านคันภายในปีพ.ศ. 2573
รถยนต์ EV ดังกล่าวจะขับเคลื่อนด้วย แบตเตอรี่ All-Solid-State ซึ่งใช้เวลาชาร์จไม่ถึง 10 นาที และช่วยให้รถยนต์วิ่งได้มากกว่า 1,200 กิโลเมตรจากการชาร์จเพียงครั้งเดียว ซึ่งมากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันถึง 2.4 เท่า
แบตเตอรี่ All-Solid-State หรือแบตเตอรีชนิดแข็งคุณภาพสูง เป็นความหวังของโตโยต้าที่จะช่วยยกระดับระยะทางในการขับขี่และลดต้นทุนของรถยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต
เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว โตโยต้ายังมีการออกแบบโรงงานใหม่ให้รองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อแข่งขันในตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และโตโยต้ากำลังตามหลังคู่แข่งสำคัญอย่างเทสลา (Tesla) รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันที่เป็นผู้นำตลาดอยู่ในปัจจุบัน
การประกาศแผนของโตโยต้ามีขึ้นก่อนที่จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีในวันพุธนี้ (14 มิ.ย.) ซึ่งคาดว่าจะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดถึงความล่าช้าของโตโยต้าในการปรับเปลี่ยนตัวเองไปเป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า
แบตเตอรี่รุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โตโยต้ามีแผนเปิดตัวแบตเตอรีรุ่นใหม่ในปี 2026 ซึ่งทางบริษัทบอกว่าจะทำให้เดินทางได้ระยะทางไกลกว่า และใช้เวลาในการชาร์จไฟน้อยลง โดยตั้งเป้าว่าจะนำออกสู่ตลาดได้ในช่วงปี 2027-2028
ทั้งนี้ แบตเตอรีชนิดแข็ง หรือ Solid-state battery ใช้อิเลกทรอไลต์แบบแข็งที่มีความเสถียรสูง สามารถเก็บไฟได้นานกว่าแบตเตอรีที่ใช้อิเลกทรอไลต์ชนิดเหลว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าแบตเตอรีแบบใหม่นี้จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคสมัยแห่งรถยนต์ไฟฟ้าได้ด้วยการเพิ่มระยะทางต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง อย่างไรก็ตาม แบตเตอรีที่ว่านี้ยังคงมีราคาแพงมากในปัจจุบัน
โตโยต้าเผยว่า จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถวิ่งได้ไกลถึง 1,000 กม. ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง ซึ่งมากกว่าระยะทางของเทสลา โมเดลวาย (Tesla Model Y) รถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในโลกที่สามารถวิ่งได้ไกล 530 กม.ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง
ส่วนแผนพัฒนาโรงงานแบบใหม่ที่จะใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุนและลดการทำงานแบบสายพานการผลิตที่ใช้กันมานานนับร้อยปีนั้น โตโยต้าเรียกระบบโรงงานใหม่นี้ว่า "สายพานทำงานอัตโนมัติ" ที่รถยนต์สามารถเคลื่อนที่ไปได้เองระหว่างที่อยู่ในกระบวนการผลิตและประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ
เมื่อปีที่ผ่านมา (2565) โตโยต้าขายรถยนต์ไปเกือบ 10.5 ล้านคัน และมีมูลค่าการตลาดราว 254,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อเทียบกับเทสลาที่ขายรถยนต์น้อยกว่าโตโยต้าถึง 1 ใน 8 แต่กลับมีมูลค่าบริษัทสูงถึง 791,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อการเติบโตของเทสลานั่นเอง