รถยนต์ทำสถิติรอบ 5 ปี ส่งออกปี 66 พุ่ง 1.1 ล้านคัน มูลค่า 1.04 ล้านล้านบาท

29 ม.ค. 2567 | 09:45 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ม.ค. 2567 | 09:56 น.

ปี 66 ปีทองรถยนต์ไทย ส่งออก 1.1 ล้านคัน มูลค่า 1.04 ล้านล้านบาท ทำสถิติสูงสุดรอบ 5 ปี ขณะยอดขายในประเทศลดลงเหลือ 7.7 แสนคัน จากเศรษฐกิจชะลอตัว ดอกเบี้ย-หนี้ครัวเรือนสูง กำลังซื้อแผ่ว

รายงานข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยว่า วันที่ 29 มกราคม 2567 นายศุภรัตน์  ศิริสุวรรณางกูร ประธานกิตติมศักดิ์ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. และนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์  รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. ได้ร่วมกันเปิดเผยจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์ตลอดทั้งปี 2566 สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

  • ด้านการผลิต

จำนวนรถยนต์ทุกประเภทที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม - ธันวาคม 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,841,663 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - ธันวาคม 2565 ร้อยละ 2.22 โดยในส่วนของยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม 2566 มีจำนวน 648,803 คัน เท่ากับร้อยละ 35.23 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - ธันวาคม 2565 ร้อยละ 7.98 ที่เหลือเป็นรถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน,รถยนต์บรรทุก,รถกระบะขนาด 1 ตัน และรถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน ที่ภาพรวมผลิตได้เพิ่มขึ้น

  • การผลิตเพื่อส่งออก

ตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม 2566 ไทยสามารถผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกได้ 1,156,035 คัน เท่ากับร้อยละ 62.77 ของยอดการผลิตทั้งหมดเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 11.44 โดยในส่วนของรถยนต์นั่งทั้งปี 2566 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 333,195 คัน เท่ากับร้อยละ 51.36 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 15.82 ขณะที่รถกระบะขนาด 1 ตันในปี 2566 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 822,840 คัน เท่ากับร้อยละ 67.18 ของยอดการผลิตรถกระบะ เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - ธันวาคม 2565 ร้อยละ 9.76

  • การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ

ในปี 2566  ผลิตได้ 685,628 คัน เท่ากับร้อยละ 37.23 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 18.98 โดยในส่วนของรถยนต์นั่งในปี 2565 ผลิตได้ 315,608 คัน เท่ากับร้อยละ 48.64 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 0.78 ส่วนรถกระบะขนาด 1 ตัน ในปี 2566 ผลิตได้ทั้งสิ้น 332,427 คัน เท่ากับร้อยละ 28.77 ของยอดการผลิตรถกระบะ ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 32.57

  • ยอดขายรถยนต์ในประเทศ

ในปี 2566 รถยนต์มียอดขายทั้งสิ้น 775,780 คัน ลดลงจากปี 2565 ในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 8.67 แยกเป็นรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 406,995 คันเท่ากับร้อยละ 52.46 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 16.94

-รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 238,570 คัน เท่ากับร้อยละ 30.75 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 13.75

-รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 73,568 คัน เท่ากับร้อยละ 9.48 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 603.66

-รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 1,895 คัน เท่ากับร้อยละ  0.24 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 37.71

-รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 92,962 คัน เท่ากับร้อยละ 11.98 ของยอดขายรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 60.41

“ยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ลดลง เป็นผลพวงจากหลายปัจจัย ที่สำคัญคือ สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะจากภาระหนี้ครัวเรือนสูง และเพราะเศรษฐกิจชะลอตัวลงจากผลผลิตอุตสาหกรรมที่ลดลงตามการส่งออกที่ลดลง โรงงานจึงลดกะทำงานและลดทำงานล่วงเวลา คนงานขาดรายได้ ประกอบกับค่าครองชีพและอัตราดอกเบี้ยสูง ทำให้เหลือเงินไม่เพียงพอในการใช้จ่ายอย่างอื่นได้ นอกจากนี้การลงทุนและการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐก็ยังต้องรองบประมาณรายจ่ายปี 2567 ที่ล่าช้าออกไปอีกหลายเดือน เป็นต้น”

  • การส่งออก

ในปี 2566 ไทยส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 1,117,539 คัน สูงกว่ายอดส่งออกก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19(ปี 2562) และสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 11.73 มีปัจจัยบวกจากประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ยังมียอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ส่งออกเพิ่มขึ้นในทุกตลาด ยกเว้นตลาดแอฟริกาที่ลดลง

ในจำนวนรถยนต์ที่ไทยส่งออกนี้ แยกเป็น รถยนต์สันดาปภายใน ICE 1,102,694 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 11.30 รถยนต์ HEV 14,845 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 56.02 มูลค่าการส่งออก 719,991.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – ธันวาคม 2565 ร้อยละ 15.25 ภาพรวมทั้งปี 2566 ไทยมีการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มูลค่าทั้งสิ้น 1,046,201.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 6.89